V ผู้มาเยือน : sci-fi โพสโมเดิร์น ที่ไร้ซึ่งคำตอบที่สิ้นสุด

ในที่สุดก็ถึงเวลาพูดถึงเรื่อง V ผู้มาเยือนกันสักทีค่ะ
หลังจากที่ผู้เขียนได้กลั่นกรองความคิดมานานพอควรว่า
"จะพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ดี"

เรื่องนี้มีอะไรที่อะไรที่น่าสนใจเยอะมากค่ะ ประเด็นในเนื้อหามีอยู่หลายที่เดียว
เราสามารถมองได้ทุกด้าน โดนใช้แว่นต่างๆในการมอง ไม่ว่าจะเป็น
ใช้แว่น สตรีนิยมมอง
ใช้แว่นของโพสโคโลเนียล
ใช้แว่นแบบสังคมศาสตร์

ไม่ว่าอะไร มันทำให้เรามองเห็นสภาพความเป็นไปของสิ่งๆต่าง และก่อให้เกิดประโยชน์ทางด้านการคิดวิเคราะห์ทั้งนั้น
ผู้เขียนเลยคิดอยู่นานค่ะ ว่าจะมองในมุมมองไหนดี
จนสุดท้าย เลือกไปเลือกมา จนได้คำตอบกับตัวเอง
"ฉันจะมองในมุมที่ฉันอยากมองแล้วกัน"

อย่างที่บอกค่ะ Blog นี้สร้างมาเพราะผู้เขียนอยากคิด เอามาตอบสนองความต้องการของตัวเองล้วนๆ

สุดท้ายเลยได้หัวข้อนี้มาเลย "V ผู้มาเยือน : sci-fi โพสโมเดิร์น ที่ไร้ซึ่งคำตอบที่สิ้นสุด"
หัวข้อตอบสนองความต้องการตัวเองจริงๆ

ขอพูดถึงหัวข้ออย่างง่ายๆกันก่อน โดยขออธิบายความหมายของคำว่า sci-fi และโพสต์โมเดิร์น ในภาษาปกติมนุษย์
เผื่อว่าผู้เขียนอายุ 80 แล้วกลับมาอ่านบทความตัวเองอีก จะได้เข้าใจว่าสองคำนี้คืออะไร

ตามความเข้าใจของผู้เขียน (ที่ศึกษาตามหลักวิชาการมาบ้างแล้ว)
*** สาเหตุที่ต้องบอกว่าตามความเข้าใจ คือ ความหมายของคำเหล่านี้ของผู้เขียนถูกนิยามมาจากความเข้าใจของผู้เขียนเองโดยศึกษาจากหลักฐานทางวิชาการต่างๆที่รวบรวมกลั่นกรองมาเป็นนิยามความเข้าใจ และต้องขอประทานอภัยที่ไม่มีหลักฐานอ้างอิงทางพจนานุกรม หรือรากศัพท์ทางไวยากรณ์อะไรแบบนั้นค่ะ

ตามความเข้าใจของผู้เขียน  sci-fi เป็นบันเทิงคดี (คืออะไรก็ตามที่อ่านเพื่อความบันเทิง เน้นให้ความบันเทิง และควรจะมีสาระบ้าง) ที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ในทุกรูปแบบ อันนี้ผู้เขียนทั่วพ่อเคาะกะโหลกตัวเองอีกที เนื่องจากว่ามันแต่ไปคิดว่ามันเป็นอะไรที่เกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาว ด้วยการสับสนในชีวิตอะไรสักอย่าง พอเคาะกระโหลกเลยคิดได้

ดังนั้น V เข้าเค้าแล้วค่ะ ยานอวกาศที่เดินทางมาจากนอกโลก จานบินกลมๆ เอเลี่ยนหน้าตาเหมือนกิ้งก่า เทคโนโลยีใหม่ที่เรายังก้าวไม่ถึง โดยเฉพาะการขโมยดีเอ็นเอเนี่ย มันน่ามีจริงเนอะๆ

ส่วนโพสโมเดิร์น คือ การตั้งคำถามกับยุคโมเดิร์น
แล้ว..ยุคโมเดิร์น คืออะไร
ยุคโมเดิร์นคือยุคปัจจุบันนี่แหละ ปัจจุบันที่เขียน คือ ปี พ.ศ. 2555 นี่คือยุคโมเดิร์น ส่วนเริ่มจากปีไหน ไม่ทราบค่ะ อันนี้ไปหากันเอาเอง แต่คิดว่าน่าจะหลังจากยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมนะ เอาง่ายๆ คิดแบบง่ายๆเด็กประถม ยุคโมเดิร์นคือยุคปัจจุบันที่เรากำลังมีชีวิตอยู่นี่แหละค่ะ เป็นยุคที่เข้าใจยาก บางทีเราก็ไม่รู้ว่ามันเป็นแบบไหน จึงมีคำว่าโพสโมเดิร์นขึ้นมา นั้นก็คือ การตั้งคำถามกับยุคโมเดิร์น ในทุกๆคำถาม ทุกๆแง่มุม
โมเดิร์น คือ
โมเดิร์น เป็นยังไง แบบว่า เดิร์น เริ่ด(เลิศ) เฉิดฉาย อะไรคือเดิร์น
โมเดิร์นดีจริงเหรอ โมเดิร์นเลวร้ายหรือเปล่า

นี่คือโพสต์โมเดิร์น การตั้งคำถามกับยุคโมเดิร์น
ดังนั้น บางทีการที่คุณถามว่า ทำไมหมูถึงขึ้นราคา มันก็เป็นคำถามแบบโพสโมเดิร์นได้เหมือนกันค่ะ แต่อย่าไปถามในสมัยสุโขทัยนะ แบบนั้นไม่โมเดิร์น

ดังนั้น sci-fi โพสโมเดิร์น ที่ไร้ซึ่งคำตอบ แปลง่ายๆ คือ แนวมนุษย์ต่างดาวที่ถามคำถามเกี่ยวกับยุคโมเดิร์น แล้วมันก็ไม่มีคำตอบที่สิ้นสุด

V ผู้มาเยือน : sci-fi โพสโมเดิร์น ที่ไร้ซึ่งคำตอบที่สิ้นสุด = ซีรี่ย์แนวมนุษย์ต่างดาวที่ถูกใช้มาเป็นเครื่องมือในการตั้งคำถามกับยุคโมเดิร์น ซึ่งไม่มีคำตอบที่สิ้นสุด (เพราะว่าออกมาสองซีซันแล้วก็โดนยกเลิกอย่างหน้าตาเฉย มันเลยไร้คำตอบที่สิ้นสุดเพราะไม่มีตอนจบ มีเพียงคำถามที่ถูกตั้งค้างไว้ เพื่อให้คิดหาคำตอบกันเอาเองตามอัธยาศัยของแต่ละบุคคล)

นี่คือประเด็นที่ผู้เขียนจะมองค่ะ มองแบบกว้างๆเลย คือ
ผู้เขียนกำลังมองหา คำถามที่ เรื่อง V: ผู้มาเยือน กำลังถาม และหาคำตอบตามอัธยาศัยของตัวเอง

ลองกลับไปถามตัวเองดูว่า คุณพบคำถามอะไรบ้าง และคุณคิดว่าเรื่องนี้มันตอบคุณว่าอย่างไร
เพราะคำถามนั้นมีมากมายหลายคำถามค่ะ มันขึ้นอยู่กับว่า เราสนใจและอยากรู้อะไรบ้าง
และนี่คือสิ่งที่ผู้เขียนมองเห็นคำถามในเรื่องนี้ และคำตอบในเรื่องนี้

คำถามแรก : ใครคือพระเจ้า พระเจ้าคืออะไร >>>> พระเจ้าของยุคโมเดิร์น

ในสังคมปัจจุบันเราต้องยอมรับว่า นิยามความเป็นพระเจ้านั้นเริ่มมีหลากหลายมากขึ้น หากไม่มองในมุมมองของศาสนา พระเจ้าก็เปรียบเสมือนผู้ครอบครอง และผู้มีอำนาจสูงสุด ผู้ที่หยิบยืนความสุขให้กับเรา
ผู้ชี้ทางไปสู่สวรรค์ นิพพาน หรืออะไรที่ทำให้เรามีความสุขตลอดกาลนั่นเอง

แล้วพระเจ้าของยุคโมเดิร์นล่ะ พระเจ้าของยุคโมเดิร์นกลายเป็นอะไรที่ถูกตั้งคำถามกันมาก
เพราะ มันไม่มีอะไรเลยที่จะทำให้เรามีความสุขได้ตลอดกาล และสิ่งที่ถูกพูดว่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขได้ตลอดกาลก็ไม่ใช่สิ่งที่สามารถพิสูจน์ได้ในทางวิทยาศาสตร์ (ซึ่งยุคนี้เชื่อว่าความจริงแท้ต้องพิสูจน์ได้ด้วยวิทยาศาสตร์ จนเราสามารถพูดได้ว่า ในสมัยอริสโตเติล หรือแม้แต่สมัยกรีกพระเจ้ายังมีอยู่จริง เพราะเชื่อในเรื่องของเทพเจ้าและอภิปรัชญา) ดังนั้น พระเจ้าจึงกลายเป็นเรื่องที่ถูกถามกันมากในยุคโมเดิร์น
และแน่นอนว่า "พระเจ้าต้องมาอย่างสันติ"
"we are peace , Always"
คือคำพูดหลักของพระเจ้ามนุษย์ต่างดาวผู้มาเยือน
เรามาเพื่อสันติ มาเพื่อรักษา มาเพื่อมอบวิทยาการใหม่ๆให้
เราเยียวยาความเจ็บป่วย
มอบเทคโนโลยีใหม่ๆแสนล้ำ
และเราต้องการสันติ
ทุกอย่างล้วนเป็นความสุขในยุคโมเดิร์น ความสุขที่ทุกคนถามหา
และพวก V สามารถทำให้ดีกว่าที่โลกเรามี
แน่นอน  พวกมนุษย์ต่างดาวก้าวเท้าเข้าใกล้คำว่าพระเจ้ามากเลยทีเดียว

แต่มนุษย์นั้นชอบตั้งคำถาม และคำถามสำคัญ คือ มาดีจริงหรือ

เมื่อเรามองแบบนี้ ชาว V ไม่ใช่มนุษย์ต่างดาวทันทีค่ะ
แต่เป็นสัตว์ สัตว์ทุกชนิดมีสัญชาตญาณในการเอาตัวรอด แม้แต่มนุษย์เราเอง
และพวก V ก็เป็นเช่นนั้น เพราะมนุษย์เอาสัญชาติญาณที่สัตว์ควรมีไปมอง

เรามีแรงขับเพื่อที่จะอยู่รอด มันส่งผลให้เราเห็นแก่ตัว ตามทฤษฎีการคัดเลือกตามธรรมชาติ ( Theory of Species ) ของชาร์ลส์ ดาร์วิน

มันส่งผลให้เราหาวิธีการต่างๆเพื่อที่จะอยู่รอด ตามสัญชาตญาณ
แต่เพราะเราเป็นมนุษย์เราถึงมีศีลธรรมคำจุนจิตใจ ว่าระดับความเห็นแก่ตัวและเอาตัวรอดของเราควรอยู่ในระดับไหน
และเรานำสิ่งนี้ไปมอง พวก V

หากมองในฐานะมนุษย์ต่างดาว อะไรนอกโลก อะไรที่เรายังไม่ได้วิจัยและวิเคราะห์
นี่เรากล่าวร้ายกับพวกมนุษย์ต่างดาวมากเลยทีเดียวนะเนี่ย
เป็นการยืนยันได้ว่าในส่วนนึ่งของมนุษย์เรามีสันชาตญาณแห่งความกลัว
กลัว นำไปสู่การไม่ไว้วางใจ จนสุดท้ายนำความคิดและเกณฑ์ของเราไปตัดสิน (บางทีเกณฑ์การตัดสินของมนุษย์ต่างดาวอาจไม่เหมือนเราก็ได้ จริงไหมคะ??)

ด้วยเหตุนี้ จึงมีกลุ่มคนบางส่วนต่อต้าน
กลุ่มนี้ผิดมั้ย ผิดหากเราตัดสินอะไรจากความรู้สึกและเกณฑ์ส่วนตัวโดยที่เรายังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน
กลุ่มนี้ถูกมั้ย ถูก ก็ต่อเมื่อคนที่ถูกตัดสินนั้นทำผิดจริงๆ มีหลักฐานที่ชัดเจน แต่อาจถูกปกปิดไว้ด้วยเล่ห์กล เพทุบายต่างๆ

เราพอจะมองเห็น "สังคมยุคโมเดิร์นจากเรื่องนี้แล้วหรือยัง"

เราตั้งคำถามกับมนุษย์ต่างดาวว่า เขาถูกหรือผิด เช่นเดียวกับการที่เราตั้งคำถามกับทุกๆคนและพระเจ้าของเราในรูปแบบต่างๆ คำถามเหล่านี้นำไปสู่การแก้ไข และแสดงออกในรูปแบบต่างๆ แสดงออกอย่างมีปัญญา หรือแสดงออกอย่างไร้ซึ่งปัญญา จนได้สังคมที่เราอยู่แบบทุกวันนี้

กลับมาในเรื่อง
โชคดีเหลือเกินที่ V ผิดจริงๆซะด้วย และจากการพิสูจน์หลักฐานและเหตุผล รวมไปถึงต่อต้านจากพวกมนุษย์ต่างดาวด้วยกันเอง จึงมี fifth column แต่สายเกินไปเสียแล้วเมื่อ พวกตัวร้ายได้เข้าไปอยู่ในใจคนทั่วโลกไปซะแล้ว

และนี่คืออีกปัญหาของยุคโมเดิร์น กว่าเราจะรู้ว่าใครดีใครชั่ว คนชั่วก็อาจครอบงำคนส่วนใหญ่ไปเสียแล้ว
เป็นปัญหาที่เราก็กำลังพยายามแก้ไขกันอยู่และมันก็ยังแก้ไม่ได้  มันค่อนข้างจะแก้ยากที่เดียวเมื่อเราย้อนไปดูสัญชาตญาณธรรมชาติที่ก่อให้เกิดปัญหาเหล่านี้
บางทีเราอาจจะต้องสังเคราะห์สัญชาตญาณใหม่ให้สำเร็จ เราก็จะแก้ปัญหานี้ได้ในที่สุด


แต่...ธรรมชาติยึดถือในเรื่องความสมดุล
เราไม่แน่ใจว่าความสมดุลมีอยู่ในอวกาศหรือเปล่า มีอยู่ในโลกอื่นมั้ย สมดุลอาจจะทำให้มีสิ่งมีชีวิต
บางทีอาจมีสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในความไม่สมดุลก็ได้

แต่สำหรับธรรมชาติของโลก  บางครั้งต้องมีความสมดุล
มนุษย์อาจมีสัญชาตญาณในการเอาตัวรอด แต่ธรรมชาติก็มอบสัญชาตญาณแห่งความรักเช่นกัน
แต่บางครั้งก็มีคำถามว่า มันเป็นสัญชาตญาณ หรือ สิ่งที่ถูกปั้นแต่งขึ้นมาในสังคมสมัยใหม่

เป็นคำถามที่ตอบยากจริงๆ
และคำถามนี้เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆในยุคโมเดิร์น

เมื่อความรักที่ที่บริสุทธิ์ที่สุด คือ จากผู้ให้กำเนิดเริ่มเปลี่ยนไป
เมื่อเราพบ ทารกถูกทิ้งข้างทาง  คลีนิกรับทำแท้งเถือน และอัตราการทำแท้งที่สูงขึ้นทุกวันๆ

จุดประสงค์ตามธรรมชาติของการมีลูกในทุกๆสิ่งมีชีวิตคือการขยายเผ่าพันธ์
ส่วนความรัก นั้นมาจากการสังเกต เพราะวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถพิสูงจ์ความรู้สึกได้ เรามีแรงขับมากมายเกินไป
แต่เราก็ปฎิเสธไม่ได้ว่า ความรักยังคงเป็นสัญชาตญาณหนึ่งในสิ่งมีชีวิตโลก

ถึงแม้ทุกวันนี้อัตราการทำแท้ง และจำนวนเด็กกำพร้าจะสูงขึ้น
แต่เราก็ยังเห็น แม่และพ่อ ที่เอาชีวิตเข้าแลกเพื่อปกป้องลูกตัวเองอยู่
สังคมยังคงมีทั้งสองด้าน และมันเป็นเรื่องยากที่เราจะฟันธงไปว่าแบบไหนมากกว่า

แต่เรารู้อย่างแน่นอนว่า เรามีสัญชาตญาณแห่งความรักและการเสียสละอยู่จริง
และเราก็มีสัญชาตญาณความเห็นแก่ตัวและการเอาตัวรอดด้วย

เรามีทั้งสองอย่าง และมันก็ตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง
สังคมและจิตใจจึงกลายเป็นตัวขับเคลื่อนสัญชาตญาณ ว่าแบบไหนควรจะมีมากกว่า
มากน้อยเพียงใด และนี่ก็เป็นคำถามสำคัญอีกอย่างหนึ่งของโพสโมเดิร์น

ลองมามองในเรื่อง V เรื่องนี้ได้ให้คำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างดี และค่อนข้างจะน่าภาคภูมิใจเสียด้วย

อย่างน้อยสิ่งมีชีวิตต่างดาวชนิดนี้ ก็ไม่มีสัญชาตญาณแห่งความรัก 
โดยธรรมชาติี่แท้จริง ของพวกมนุษย์ต่างดาวกลุ่ม V นั้นไม่ได้มีสัญชาตญาณความรักเลย
หากมองในการจัดรูปแบบของเราคือ พวกเขายังจัดอยู่ในกลุ่มสัตว์เดรัจฉาน
มุ่งขยายพันธ์ เอาตัวรอด และศีลธรรมต่ำ 

V คือ สัตว์เซลล์เดียวที่กำลังพัฒนาสู่สังคมแบบมีอารยธรรม
พวกเขามีระบบการพัฒนาที่ต่างจากมนุษย์เราตรงที V พัฒนาแต่สมอง ไม่ได้พัฒนาทา
งด้านจิตใจ  พวกเขาอาจไม่รู้จักรักเลย ถ้าไม่คิดขยายเผ่าพันธ์ให้ยิ่งใหญ่กว่าเดิม

สาเหตที่มนุษย์มีความรักนั้นมาจากสัญชาตญาณ ในขณะที่สาเหตุที่พวก V รู้จักรัก มากจากการติดเชื้้อจากมนุษย์

ด้วยเหตุนี้ V จึงติดเชื่อมนุษย์ นั่่นคือ ความรัก ความเมตตาอาทร
และนี่คือความภาคภูมิใจที่เรื่องนี้มอบให้กับเรา นี่คือสิ่งที่มนุษย์มี มนุษย์ต่างดาวไม่มี
และสุดท้าย หากมองให้ลึกกว่านั้นคือ
นี่คือสิ่งที่มนุษย์กำลังจะยกให้เป็นพระเจ้า

เดรัจฉานที่มีผิวหนังของมนุษย์เคลือบไว้ และนี่คือคำตอบจากเรื่องนี้

วันหนึ่งเดรัจฉานอาจเริ่มมีความรู้สึก เมื่อได้รับ "เชื้อมนุษย์" นานเกินไป
และบางส่วนก็พัฒนาการเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง  มีความรู้สึก เมตตา และความรัก
และพวกเขากำลังพัฒนา และพวกเขากำลังเข้าสู่สังคมแบบโมเดิร์น

และก็คงจะมาเจอคำถามแบบเดียวกับเรา
คำถามของยุคโมเดิร์น

จนกระทั่งสุดท้ายเรื่องนี้ก็ถูกยกเลิกไป
จากการที่คาดหวังคำตอบที่ชัดเจนของยุคโมเดิร์น เราก็ไม่พบคำตอบ
เราไม่รู้ว่าเดรัจฉานจะพัฒนาไปอย่างไร บางส่วนพัฒนาไปอย่างสิ้นเชิง บางส่วนพัฒนาไปอย่างครึ่งๆกลางๆ บางส่วนพัฒนาตามสถาวะและสถาพทางสังคม

และนี่คือยุคนี้ ยุคโมเดิร์น ยุคการพัฒนาของเดรัจฉานที่เราไม่รู้ว่าสุดท้ายเราจะพัฒนาไปทางเดียวกันหรือไม่ และทางไหน ยุคนี้คือยุคมี่มีความหลากหลายในการพัฒนา  บางส่วนพัฒนาไปอย่างสิ้นเชิง บางส่วนพัฒนาไปอย่างครึ่งๆกลางๆ บางส่วนพัฒนาตามสถาวะและสถาพทางสังคม

และนี่คือ V ผู้มาเยือน : sci-fi โพสโมเดิร์น ที่ไร้ซึ่งคำตอบที่สิ้นสุด  หนังเรื่องนี้โชคดีที่ไม่ทีจุดจบ เราสามารถไปจินตนาการต่อเอาเองตามแบบที่เราต้องการได้

แต่โลกจริงของเราไม่เป็นเช่นนั้น เราต้องมีจุดจบ ส่วนจุดจบของยุคโมเดิร์น จุดจบของมนุษย์จะเป็นแบบไหนนั่นอยู่ที่อนาคต มนุษย์ยังพัฒนาไม่ถึงจุดสูงสุดเลย เรายังอยู่ในยุคของความหลากหลายและขั้นตอนพัฒนาความเป็นเดรัจฉานที่หลากหลายเท่านั้น
หากนิพพานมีจริง มนุษย์ที่แท้จริงคงจะอยู่ที่นั่น

2 ความคิดเห็น:

  1. และนี่คืออีกปัญหาของยุคโมเดิร์น กว่าเราจะรู้ว่าใครดีใครชั่ว คนชั่วก็อาจครอบงำคนส่วนใหญ่ไปเสียแล้ว

    ชอบประโยคนี้นะ มนุษย์มักไม่รู้ตัวว่ากำลังเดินลงเหว รู้ตัวอีกที คงตกลงไปแล้ว แล้วมนุษย์ก็ค่อยมาหาทางขึ้นอีกที ทั้งที่ความจริงแล้ว ไม่ตกลงไปเลยน่าจะดีกว่า แต่ก็นั่นแหละ อย่างน้อยมนุษย์ก็ได้ประสบการณ์

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. อันนั้นมันเป็นเพราะตัวมนุษย์เลือกทีจะเดินลงไปเอง แต่อันนี้ที่หมายถึงคือ ดกว่าเราจะรู้ว่าใครดีช่วย มันพาเราลงเหวไปแล้วไงแก เพราเราไม่รู้ว่าไอ่คนนั้นดีหรือชั่ว
      กลายเป็นว่าเราไม่ได้เดินลงเอง แต่อาจถูกอุบายหรืออะไรสักอย่างพาเราไป
      ความจริงมันไม่ผิดนะ มันเป็นการคัดเลือกตามธรรมชาติอยู่แล้ว
      ถ้าเราฉลาดทันเล่ห์เค้าไม่ได้ เราก็ถุกเค้าหลอก มันเป็นเรื่องปกติ เราไม่แกร่ง ดเราก็ต้องตาย
      ธรรมชาติคัดเลือกคนที่อยู่ได้มากกว่า

      แต่พอมนุษย์เริ่มมีสังคม มันเลยเริ่มไม่ใช่การคัดเลือกตามธรรมชาติแล้วไง
      หรือบางทีมันอาจจะยากขึ้น เพราะพอมีสังคม สังคมยังมาเป็นกรอบเพิ่ม แะตัวกำหนดพฤติกรรมมนุษย์อีก มันเลยกลายเป็นธรรมชาติที่อยู่ในความสับสน
      ชั้นว่ามันไม่ยุติธรรมกับบางคนที่เลือกเกิดไม่ได้ คนที่เกิดในที่ที่ดีกว่า ย่อมเจอสภาพสังคมที่ดีกว่า มีโอกาสที่จะแกร่งได้มากกว่า แต่คนทีเกิดในที่ที่ลำบาก เจอสภาพสังคมที่แย่ มีโอกาสอ่อนแอมากกว่า แต่โชคดีที่มนุษย์ยังมีสัญชาตญาณเอาตัวรอด เราจึงเห็นคนแกร่งส่วนนึงมาจากสภาพสงคมที่ยากลำบาก และเค้าแกร่งกว่าพวกที่มีสภาพสังคมที่ดี แต่มันก็ยังมีคนอ่อนแออยู่ดี

      ลบ