snow white and the huntsman : สตรีไร้อำนาจที่ถูกกดขี่

ในที่สุดก็ได้เรื่องใหม่เขียนสักทีค่ะ
ตามคำสั่งเพื่อนสาวสุดเลิฟ
"แกไปเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ในมุมมองของสตรีนิยมมานะ"
เราก็ตอบตกลงไป และมานั่งจึ๋งกลั่นกรองสมองสักพัก

โดยเหตุผลส่วนตัว จริงๆแล้ว หลิวจะไม่ค่อยเขียนอะไรในมุมมองสตรีนิยมสักเท่าไหร่ค่ะ
หรือ หลีกเลี่ยงที่จะเขียน
เหตุผลมีข้อเดียว คือ หลิวเป็นพวกสตรีนิยม
เลยไม่อยากเขียนงานเกี่ยวกับสตินิยม เพราะกลัวว่า บางทีเราจะใช้อารมณ์มากเกินไป
ใส่อารมณ์ กลายเป็นงานระบายความเก็บกดจากระบบปิตาธิปไตยที่กดขี่สตรีแทน
ส่วนใหญ่ถ้าหลิวจะเขียนแนวระบายความรันทดของชีวิต หลิวจะเขียนแนวสัญลักษณ์มากกว่าค่ะ

แต่ไหนๆก็ไหนๆ
บล็อกนี้มีไว้สนองตัณหาของตัวเองล้วนๆ ก็ขอสนองมันเลยแล้วกันเนอะ



snow white and the huntsman : สตรีไร้อำนาจที่ถูกกดขี่

ที่ใช้หัวข้อนี้ เพราะเรื่องนี้ สตรีไร้อำนาจจริงๆ ไม่มีอำนาจเลย  แถมยังถูกกดขี่อีก ช่างน่าเศร้า

หลายๆคนอาจมองว่า สตรีในเรื่องนี้มีอำนาจนะ
เพราะบทบาทที่สตรีในเรื่องนี้มี คือ ความเป็นผู้นำ
ไม่ว่าจะเป็นตัวร้าย ราชินีเอง หรือเจ้าหญิงสโนไวท์ที่นำทัพออกรบเพื่อมาแย่งบัลลังค์คืน

ไม่ได้ไร้อำนาจเลย
ทุกคนมีอำนาจอยู่ในมือ แต่คำถามคือ อำนาจของสตรีในเรื่องนี้อยู่ตรงไหน

เริ่มจาก ตัวราชินีเอง อำนาจของเธออยู่ตรงไหน
หากมองอย่างผิวเผิน เราจะเห็นว่าเธอเป็นราชินี อำนาจของเธอคือการเป็นเจ้าของเมือง มีข้าทาสบริวาร
เมืองที่เหี่ยวเฉา แร้นแค้น และมีแต่ความตาย นี่หรือคืออำนาจ
เมื่อราชินีขึ้นครอง เมืองที่เคยมั่งคั่งและยิ่งใหญ่ กลับกลายเป็นเมืองที่แร้นแค้น
ดังนั้น เมืองจึงไม่ใช่ส่วนที่เสริมอำนาจอะไรของเธอเลย เธอมีเพียงความสุขสบาย
จากการเอาเปรียบประชาชนของเธอเท่านั้นเอง เธอหาความสุข และเลือกให้คนอื่นลำบากแทน
และเธอไม่เคยได้รับความภักดีจากใคร เราจึงมองไม่เห็นอำนาจของเธอในส่วนนี้เลย

แล้วเธอถูกกดขี่ตรงไหนล่ะ
เรื่องนี้มองได้ง่ายมากเลยค่ะ
ในส่วนหนึ่ง เราอาจมองว่า เจ้าหล่อนนั่นแหละที่กดขี่ประชาชน  ไม่ใช่ตัวนังราชินีที่โดนกดขี่
แต่เมื่อเรามองให้ลึกกว่านั้น เราจะเห็นว่า อำนาจที่ราชินีมี และได้มา มันมาจากความสวยของเธอ
ความสวยที่มันมีวันโรยรา และไม่ได้ยืนยาวเลย
โชคดีที่เธอมีเวทมนตร์ เธอจึงยังคงรักษามันไว้ได้ แต่มันก็เป็นเรื่องยากลำบากเหลือเกิน

มองตรงนี้ เราจะเห็นว่า ราชินีนั้นน่าสงสารมาก (จะว่าไปเธอก็ไม่ต่างจากผู้หญิงบางส่วนในสมัยนี้สักเท่าไหร่)
เหตุใด คุณค่าของเธอจึงมีแค่ความสวย เปลือกนอกที่พร้อมจะโรยรายลงไปทุกวัน
และเมื่อวันหนึ่งที่มันหมดสิ้น เธอจะเป็นเพียงสิ่งที่ไร้ค่า

ความสวยของเธอกลายเป็นเครื่องมือในสร้างอำนาจ แต่ถ้าโลกนี้ไม่มีผู้ชาย ความสวยก็ไร้ความหมาย
และเธอคงเอาความสวยมาใช้ประโยชน์ไม่ได้เช่นกัน

แค่นี้ก็พอจะเห็นแล้วใช่มั้ยคะว่า ใครกันแน่ที่มีอำนาจ ใครกันแน่คือผู้ยิ่งใหญ่ในเรื่องนี้

พระราชา พ่อของสโนไวท์ค่ะ ผู้หยิบยื่นอำนาจให้ และเป็นผู้ที่ตายเพราะความงามของราชินีด้วย

ราชินีใช้ความงามเป็นเครื่องมือ ในขณะที่พระราชาผู้โง่เขลาพ่ายแพ้ต่อความงาม
หากเรื่องนี้มีความยุติธรรมสักหน่อย คนรับกรรมไม่น่าจะเป็นสโนไวท์เลย

ในขณะที่พระราชาโดนแทงและตายไป
คนต่อไปที่ต้องมารับกรรมแทนคือ สโนไวท์ ลูกสาวที่ไม่รู้เรื่องอะไร
ชายทำพัง แต่สตรีแก้ไข

มองในมุมมองของสตรีนิยม
เจ้าหญิงสโนไวท์ค่อนข้างน่าสงสารมากเลยทีเดียว

หน้าที่ความรับผิดชอบที่ต้องมาชดใช้แทน
มองในมุมมองปกติ เราอาจมองเห็นว่า เธอโชคร้ายเพราะความชั่วของราชินีต่างหาก
ราชินีสั่งขังเธอนะ

แต่เรามองแบบสตรีนิยม
มองตั้งแต่ตัวราชินี ความกดดันทางสังคม และสังคมแบบปิตาธิปไตยที่กีดกันให้ผู้หญิงเป็นเพียงเครื่องสนองตัณหา สังคมที่มองว่าคุณค่าของสตรีเป็นเพียงเครื่องประดับ
ทำให้สิ่งสุดท้ายที่แม่มอบไว้ให้เธอ คือ "ความงาม"
จงใช้ความสวย เพื่อแก้แค้นแทนพวกเรา(ชนชั้นล่างที่ถูกกดขี่) นั่นคือคำสั่งเสียสุดท้ายของแม่ราชินี
และเธอก็ทำเช่นนั้น

ราชินี จึงเป็นเพียงผลกระทำอันโหดร้ายจากสังคม ที่แสดงออกมาเป็นรูปธรรมเท่านั้น
เธอคือสิ่งนี้
ไม่เพียงเท่านั้น ความล้มเหลวของเธอก็ยังมาจากน้องชายอีกเช่นกัน
ราคะของน้องชายราชินีทำทำให้สโนไวท์หลุดรอดไป
การไม่รู้จักระงับโทสะ ที่ส่งผลให้นายพรานเลือกที่จะช่วยสโนไวท์แทนจับเธอส่งคืนราชินี

ส่วนสโนไวท์ เป็นตัวอย่างชนชั้นสูงที่ได้รับผลกระทบจาก รูปธรรมอันโหดร้ายจากสังคม
แต่ราชินีนั้นยังคงมีจิตใจส่วนหนึ่ง จิตใจด้านบริสุทธิ์ ที่ยังพอหลุดพ้นจากการกดขี่ทางสังคมที่ทำร้ายจิตใจอันดีงามจนบอบช้ำ
เธอจึง สั่งให้ขังเด็กสาวสโนไวท์เท่านั้น เธอ ฆ่าไม่ลง
นั่นคือส่วนดีงามจากจิตใจอันบอบช้ำที่ยังพอหลงเหลืออยู่

ในเรื่องนี้หากจะมองว่ามีใครผิด
จริงๆแล้วไม่มีใครผิดเลย ราชินิไม่ใช่ตัวร้าย
แต่สังคมต่างหากที่เป็นตัวร้าย
สังคมที่สร้างกรอบให้ผู้หญิงเป็นเพียงแค่เครื่องประดับ
การให้คุณค่าในสิ่งที่ย่อมมีวันโรยราย นั้นไม่ใช่เรื่องที่ยุติธรรมสำหรับผู้หญิงเลย
แต่เราปฏิเสธไม่ได้ว่า "ในเทพนิยาย" มักเป็นแบบนั้น
และนี่คือเทพนิยาย

ความปวดร้าวของผู้หญิง คุณค่าทางภายนอก และผลกระทบกับผู้หญิง
บางครั้งความสวยงาม ก็มีหลายด้าน เทพนิยาย เรื่องราวดุจความฝันเองก็มีด้านมืดที่เราอาจมองไม่เห็น
และฉันเพิ่งพบมันวันนี้

เส้นด้าย สีรุ้ง
https://www.facebook.com/rainbowdamit

V ผู้มาเยือน : sci-fi โพสโมเดิร์น ที่ไร้ซึ่งคำตอบที่สิ้นสุด

ในที่สุดก็ถึงเวลาพูดถึงเรื่อง V ผู้มาเยือนกันสักทีค่ะ
หลังจากที่ผู้เขียนได้กลั่นกรองความคิดมานานพอควรว่า
"จะพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ดี"

เรื่องนี้มีอะไรที่อะไรที่น่าสนใจเยอะมากค่ะ ประเด็นในเนื้อหามีอยู่หลายที่เดียว
เราสามารถมองได้ทุกด้าน โดนใช้แว่นต่างๆในการมอง ไม่ว่าจะเป็น
ใช้แว่น สตรีนิยมมอง
ใช้แว่นของโพสโคโลเนียล
ใช้แว่นแบบสังคมศาสตร์

ไม่ว่าอะไร มันทำให้เรามองเห็นสภาพความเป็นไปของสิ่งๆต่าง และก่อให้เกิดประโยชน์ทางด้านการคิดวิเคราะห์ทั้งนั้น
ผู้เขียนเลยคิดอยู่นานค่ะ ว่าจะมองในมุมมองไหนดี
จนสุดท้าย เลือกไปเลือกมา จนได้คำตอบกับตัวเอง
"ฉันจะมองในมุมที่ฉันอยากมองแล้วกัน"

อย่างที่บอกค่ะ Blog นี้สร้างมาเพราะผู้เขียนอยากคิด เอามาตอบสนองความต้องการของตัวเองล้วนๆ

สุดท้ายเลยได้หัวข้อนี้มาเลย "V ผู้มาเยือน : sci-fi โพสโมเดิร์น ที่ไร้ซึ่งคำตอบที่สิ้นสุด"
หัวข้อตอบสนองความต้องการตัวเองจริงๆ

ขอพูดถึงหัวข้ออย่างง่ายๆกันก่อน โดยขออธิบายความหมายของคำว่า sci-fi และโพสต์โมเดิร์น ในภาษาปกติมนุษย์
เผื่อว่าผู้เขียนอายุ 80 แล้วกลับมาอ่านบทความตัวเองอีก จะได้เข้าใจว่าสองคำนี้คืออะไร

ตามความเข้าใจของผู้เขียน (ที่ศึกษาตามหลักวิชาการมาบ้างแล้ว)
*** สาเหตุที่ต้องบอกว่าตามความเข้าใจ คือ ความหมายของคำเหล่านี้ของผู้เขียนถูกนิยามมาจากความเข้าใจของผู้เขียนเองโดยศึกษาจากหลักฐานทางวิชาการต่างๆที่รวบรวมกลั่นกรองมาเป็นนิยามความเข้าใจ และต้องขอประทานอภัยที่ไม่มีหลักฐานอ้างอิงทางพจนานุกรม หรือรากศัพท์ทางไวยากรณ์อะไรแบบนั้นค่ะ

ตามความเข้าใจของผู้เขียน  sci-fi เป็นบันเทิงคดี (คืออะไรก็ตามที่อ่านเพื่อความบันเทิง เน้นให้ความบันเทิง และควรจะมีสาระบ้าง) ที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ในทุกรูปแบบ อันนี้ผู้เขียนทั่วพ่อเคาะกะโหลกตัวเองอีกที เนื่องจากว่ามันแต่ไปคิดว่ามันเป็นอะไรที่เกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาว ด้วยการสับสนในชีวิตอะไรสักอย่าง พอเคาะกระโหลกเลยคิดได้

ดังนั้น V เข้าเค้าแล้วค่ะ ยานอวกาศที่เดินทางมาจากนอกโลก จานบินกลมๆ เอเลี่ยนหน้าตาเหมือนกิ้งก่า เทคโนโลยีใหม่ที่เรายังก้าวไม่ถึง โดยเฉพาะการขโมยดีเอ็นเอเนี่ย มันน่ามีจริงเนอะๆ

ส่วนโพสโมเดิร์น คือ การตั้งคำถามกับยุคโมเดิร์น
แล้ว..ยุคโมเดิร์น คืออะไร
ยุคโมเดิร์นคือยุคปัจจุบันนี่แหละ ปัจจุบันที่เขียน คือ ปี พ.ศ. 2555 นี่คือยุคโมเดิร์น ส่วนเริ่มจากปีไหน ไม่ทราบค่ะ อันนี้ไปหากันเอาเอง แต่คิดว่าน่าจะหลังจากยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมนะ เอาง่ายๆ คิดแบบง่ายๆเด็กประถม ยุคโมเดิร์นคือยุคปัจจุบันที่เรากำลังมีชีวิตอยู่นี่แหละค่ะ เป็นยุคที่เข้าใจยาก บางทีเราก็ไม่รู้ว่ามันเป็นแบบไหน จึงมีคำว่าโพสโมเดิร์นขึ้นมา นั้นก็คือ การตั้งคำถามกับยุคโมเดิร์น ในทุกๆคำถาม ทุกๆแง่มุม
โมเดิร์น คือ
โมเดิร์น เป็นยังไง แบบว่า เดิร์น เริ่ด(เลิศ) เฉิดฉาย อะไรคือเดิร์น
โมเดิร์นดีจริงเหรอ โมเดิร์นเลวร้ายหรือเปล่า

นี่คือโพสต์โมเดิร์น การตั้งคำถามกับยุคโมเดิร์น
ดังนั้น บางทีการที่คุณถามว่า ทำไมหมูถึงขึ้นราคา มันก็เป็นคำถามแบบโพสโมเดิร์นได้เหมือนกันค่ะ แต่อย่าไปถามในสมัยสุโขทัยนะ แบบนั้นไม่โมเดิร์น

ดังนั้น sci-fi โพสโมเดิร์น ที่ไร้ซึ่งคำตอบ แปลง่ายๆ คือ แนวมนุษย์ต่างดาวที่ถามคำถามเกี่ยวกับยุคโมเดิร์น แล้วมันก็ไม่มีคำตอบที่สิ้นสุด

V ผู้มาเยือน : sci-fi โพสโมเดิร์น ที่ไร้ซึ่งคำตอบที่สิ้นสุด = ซีรี่ย์แนวมนุษย์ต่างดาวที่ถูกใช้มาเป็นเครื่องมือในการตั้งคำถามกับยุคโมเดิร์น ซึ่งไม่มีคำตอบที่สิ้นสุด (เพราะว่าออกมาสองซีซันแล้วก็โดนยกเลิกอย่างหน้าตาเฉย มันเลยไร้คำตอบที่สิ้นสุดเพราะไม่มีตอนจบ มีเพียงคำถามที่ถูกตั้งค้างไว้ เพื่อให้คิดหาคำตอบกันเอาเองตามอัธยาศัยของแต่ละบุคคล)

นี่คือประเด็นที่ผู้เขียนจะมองค่ะ มองแบบกว้างๆเลย คือ
ผู้เขียนกำลังมองหา คำถามที่ เรื่อง V: ผู้มาเยือน กำลังถาม และหาคำตอบตามอัธยาศัยของตัวเอง

ลองกลับไปถามตัวเองดูว่า คุณพบคำถามอะไรบ้าง และคุณคิดว่าเรื่องนี้มันตอบคุณว่าอย่างไร
เพราะคำถามนั้นมีมากมายหลายคำถามค่ะ มันขึ้นอยู่กับว่า เราสนใจและอยากรู้อะไรบ้าง
และนี่คือสิ่งที่ผู้เขียนมองเห็นคำถามในเรื่องนี้ และคำตอบในเรื่องนี้

คำถามแรก : ใครคือพระเจ้า พระเจ้าคืออะไร >>>> พระเจ้าของยุคโมเดิร์น

ในสังคมปัจจุบันเราต้องยอมรับว่า นิยามความเป็นพระเจ้านั้นเริ่มมีหลากหลายมากขึ้น หากไม่มองในมุมมองของศาสนา พระเจ้าก็เปรียบเสมือนผู้ครอบครอง และผู้มีอำนาจสูงสุด ผู้ที่หยิบยืนความสุขให้กับเรา
ผู้ชี้ทางไปสู่สวรรค์ นิพพาน หรืออะไรที่ทำให้เรามีความสุขตลอดกาลนั่นเอง

แล้วพระเจ้าของยุคโมเดิร์นล่ะ พระเจ้าของยุคโมเดิร์นกลายเป็นอะไรที่ถูกตั้งคำถามกันมาก
เพราะ มันไม่มีอะไรเลยที่จะทำให้เรามีความสุขได้ตลอดกาล และสิ่งที่ถูกพูดว่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขได้ตลอดกาลก็ไม่ใช่สิ่งที่สามารถพิสูจน์ได้ในทางวิทยาศาสตร์ (ซึ่งยุคนี้เชื่อว่าความจริงแท้ต้องพิสูจน์ได้ด้วยวิทยาศาสตร์ จนเราสามารถพูดได้ว่า ในสมัยอริสโตเติล หรือแม้แต่สมัยกรีกพระเจ้ายังมีอยู่จริง เพราะเชื่อในเรื่องของเทพเจ้าและอภิปรัชญา) ดังนั้น พระเจ้าจึงกลายเป็นเรื่องที่ถูกถามกันมากในยุคโมเดิร์น
และแน่นอนว่า "พระเจ้าต้องมาอย่างสันติ"
"we are peace , Always"
คือคำพูดหลักของพระเจ้ามนุษย์ต่างดาวผู้มาเยือน
เรามาเพื่อสันติ มาเพื่อรักษา มาเพื่อมอบวิทยาการใหม่ๆให้
เราเยียวยาความเจ็บป่วย
มอบเทคโนโลยีใหม่ๆแสนล้ำ
และเราต้องการสันติ
ทุกอย่างล้วนเป็นความสุขในยุคโมเดิร์น ความสุขที่ทุกคนถามหา
และพวก V สามารถทำให้ดีกว่าที่โลกเรามี
แน่นอน  พวกมนุษย์ต่างดาวก้าวเท้าเข้าใกล้คำว่าพระเจ้ามากเลยทีเดียว

แต่มนุษย์นั้นชอบตั้งคำถาม และคำถามสำคัญ คือ มาดีจริงหรือ

เมื่อเรามองแบบนี้ ชาว V ไม่ใช่มนุษย์ต่างดาวทันทีค่ะ
แต่เป็นสัตว์ สัตว์ทุกชนิดมีสัญชาตญาณในการเอาตัวรอด แม้แต่มนุษย์เราเอง
และพวก V ก็เป็นเช่นนั้น เพราะมนุษย์เอาสัญชาติญาณที่สัตว์ควรมีไปมอง

เรามีแรงขับเพื่อที่จะอยู่รอด มันส่งผลให้เราเห็นแก่ตัว ตามทฤษฎีการคัดเลือกตามธรรมชาติ ( Theory of Species ) ของชาร์ลส์ ดาร์วิน

มันส่งผลให้เราหาวิธีการต่างๆเพื่อที่จะอยู่รอด ตามสัญชาตญาณ
แต่เพราะเราเป็นมนุษย์เราถึงมีศีลธรรมคำจุนจิตใจ ว่าระดับความเห็นแก่ตัวและเอาตัวรอดของเราควรอยู่ในระดับไหน
และเรานำสิ่งนี้ไปมอง พวก V

หากมองในฐานะมนุษย์ต่างดาว อะไรนอกโลก อะไรที่เรายังไม่ได้วิจัยและวิเคราะห์
นี่เรากล่าวร้ายกับพวกมนุษย์ต่างดาวมากเลยทีเดียวนะเนี่ย
เป็นการยืนยันได้ว่าในส่วนนึ่งของมนุษย์เรามีสันชาตญาณแห่งความกลัว
กลัว นำไปสู่การไม่ไว้วางใจ จนสุดท้ายนำความคิดและเกณฑ์ของเราไปตัดสิน (บางทีเกณฑ์การตัดสินของมนุษย์ต่างดาวอาจไม่เหมือนเราก็ได้ จริงไหมคะ??)

ด้วยเหตุนี้ จึงมีกลุ่มคนบางส่วนต่อต้าน
กลุ่มนี้ผิดมั้ย ผิดหากเราตัดสินอะไรจากความรู้สึกและเกณฑ์ส่วนตัวโดยที่เรายังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน
กลุ่มนี้ถูกมั้ย ถูก ก็ต่อเมื่อคนที่ถูกตัดสินนั้นทำผิดจริงๆ มีหลักฐานที่ชัดเจน แต่อาจถูกปกปิดไว้ด้วยเล่ห์กล เพทุบายต่างๆ

เราพอจะมองเห็น "สังคมยุคโมเดิร์นจากเรื่องนี้แล้วหรือยัง"

เราตั้งคำถามกับมนุษย์ต่างดาวว่า เขาถูกหรือผิด เช่นเดียวกับการที่เราตั้งคำถามกับทุกๆคนและพระเจ้าของเราในรูปแบบต่างๆ คำถามเหล่านี้นำไปสู่การแก้ไข และแสดงออกในรูปแบบต่างๆ แสดงออกอย่างมีปัญญา หรือแสดงออกอย่างไร้ซึ่งปัญญา จนได้สังคมที่เราอยู่แบบทุกวันนี้

กลับมาในเรื่อง
โชคดีเหลือเกินที่ V ผิดจริงๆซะด้วย และจากการพิสูจน์หลักฐานและเหตุผล รวมไปถึงต่อต้านจากพวกมนุษย์ต่างดาวด้วยกันเอง จึงมี fifth column แต่สายเกินไปเสียแล้วเมื่อ พวกตัวร้ายได้เข้าไปอยู่ในใจคนทั่วโลกไปซะแล้ว

และนี่คืออีกปัญหาของยุคโมเดิร์น กว่าเราจะรู้ว่าใครดีใครชั่ว คนชั่วก็อาจครอบงำคนส่วนใหญ่ไปเสียแล้ว
เป็นปัญหาที่เราก็กำลังพยายามแก้ไขกันอยู่และมันก็ยังแก้ไม่ได้  มันค่อนข้างจะแก้ยากที่เดียวเมื่อเราย้อนไปดูสัญชาตญาณธรรมชาติที่ก่อให้เกิดปัญหาเหล่านี้
บางทีเราอาจจะต้องสังเคราะห์สัญชาตญาณใหม่ให้สำเร็จ เราก็จะแก้ปัญหานี้ได้ในที่สุด


แต่...ธรรมชาติยึดถือในเรื่องความสมดุล
เราไม่แน่ใจว่าความสมดุลมีอยู่ในอวกาศหรือเปล่า มีอยู่ในโลกอื่นมั้ย สมดุลอาจจะทำให้มีสิ่งมีชีวิต
บางทีอาจมีสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในความไม่สมดุลก็ได้

แต่สำหรับธรรมชาติของโลก  บางครั้งต้องมีความสมดุล
มนุษย์อาจมีสัญชาตญาณในการเอาตัวรอด แต่ธรรมชาติก็มอบสัญชาตญาณแห่งความรักเช่นกัน
แต่บางครั้งก็มีคำถามว่า มันเป็นสัญชาตญาณ หรือ สิ่งที่ถูกปั้นแต่งขึ้นมาในสังคมสมัยใหม่

เป็นคำถามที่ตอบยากจริงๆ
และคำถามนี้เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆในยุคโมเดิร์น

เมื่อความรักที่ที่บริสุทธิ์ที่สุด คือ จากผู้ให้กำเนิดเริ่มเปลี่ยนไป
เมื่อเราพบ ทารกถูกทิ้งข้างทาง  คลีนิกรับทำแท้งเถือน และอัตราการทำแท้งที่สูงขึ้นทุกวันๆ

จุดประสงค์ตามธรรมชาติของการมีลูกในทุกๆสิ่งมีชีวิตคือการขยายเผ่าพันธ์
ส่วนความรัก นั้นมาจากการสังเกต เพราะวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถพิสูงจ์ความรู้สึกได้ เรามีแรงขับมากมายเกินไป
แต่เราก็ปฎิเสธไม่ได้ว่า ความรักยังคงเป็นสัญชาตญาณหนึ่งในสิ่งมีชีวิตโลก

ถึงแม้ทุกวันนี้อัตราการทำแท้ง และจำนวนเด็กกำพร้าจะสูงขึ้น
แต่เราก็ยังเห็น แม่และพ่อ ที่เอาชีวิตเข้าแลกเพื่อปกป้องลูกตัวเองอยู่
สังคมยังคงมีทั้งสองด้าน และมันเป็นเรื่องยากที่เราจะฟันธงไปว่าแบบไหนมากกว่า

แต่เรารู้อย่างแน่นอนว่า เรามีสัญชาตญาณแห่งความรักและการเสียสละอยู่จริง
และเราก็มีสัญชาตญาณความเห็นแก่ตัวและการเอาตัวรอดด้วย

เรามีทั้งสองอย่าง และมันก็ตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง
สังคมและจิตใจจึงกลายเป็นตัวขับเคลื่อนสัญชาตญาณ ว่าแบบไหนควรจะมีมากกว่า
มากน้อยเพียงใด และนี่ก็เป็นคำถามสำคัญอีกอย่างหนึ่งของโพสโมเดิร์น

ลองมามองในเรื่อง V เรื่องนี้ได้ให้คำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างดี และค่อนข้างจะน่าภาคภูมิใจเสียด้วย

อย่างน้อยสิ่งมีชีวิตต่างดาวชนิดนี้ ก็ไม่มีสัญชาตญาณแห่งความรัก 
โดยธรรมชาติี่แท้จริง ของพวกมนุษย์ต่างดาวกลุ่ม V นั้นไม่ได้มีสัญชาตญาณความรักเลย
หากมองในการจัดรูปแบบของเราคือ พวกเขายังจัดอยู่ในกลุ่มสัตว์เดรัจฉาน
มุ่งขยายพันธ์ เอาตัวรอด และศีลธรรมต่ำ 

V คือ สัตว์เซลล์เดียวที่กำลังพัฒนาสู่สังคมแบบมีอารยธรรม
พวกเขามีระบบการพัฒนาที่ต่างจากมนุษย์เราตรงที V พัฒนาแต่สมอง ไม่ได้พัฒนาทา
งด้านจิตใจ  พวกเขาอาจไม่รู้จักรักเลย ถ้าไม่คิดขยายเผ่าพันธ์ให้ยิ่งใหญ่กว่าเดิม

สาเหตที่มนุษย์มีความรักนั้นมาจากสัญชาตญาณ ในขณะที่สาเหตุที่พวก V รู้จักรัก มากจากการติดเชื้้อจากมนุษย์

ด้วยเหตุนี้ V จึงติดเชื่อมนุษย์ นั่่นคือ ความรัก ความเมตตาอาทร
และนี่คือความภาคภูมิใจที่เรื่องนี้มอบให้กับเรา นี่คือสิ่งที่มนุษย์มี มนุษย์ต่างดาวไม่มี
และสุดท้าย หากมองให้ลึกกว่านั้นคือ
นี่คือสิ่งที่มนุษย์กำลังจะยกให้เป็นพระเจ้า

เดรัจฉานที่มีผิวหนังของมนุษย์เคลือบไว้ และนี่คือคำตอบจากเรื่องนี้

วันหนึ่งเดรัจฉานอาจเริ่มมีความรู้สึก เมื่อได้รับ "เชื้อมนุษย์" นานเกินไป
และบางส่วนก็พัฒนาการเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง  มีความรู้สึก เมตตา และความรัก
และพวกเขากำลังพัฒนา และพวกเขากำลังเข้าสู่สังคมแบบโมเดิร์น

และก็คงจะมาเจอคำถามแบบเดียวกับเรา
คำถามของยุคโมเดิร์น

จนกระทั่งสุดท้ายเรื่องนี้ก็ถูกยกเลิกไป
จากการที่คาดหวังคำตอบที่ชัดเจนของยุคโมเดิร์น เราก็ไม่พบคำตอบ
เราไม่รู้ว่าเดรัจฉานจะพัฒนาไปอย่างไร บางส่วนพัฒนาไปอย่างสิ้นเชิง บางส่วนพัฒนาไปอย่างครึ่งๆกลางๆ บางส่วนพัฒนาตามสถาวะและสถาพทางสังคม

และนี่คือยุคนี้ ยุคโมเดิร์น ยุคการพัฒนาของเดรัจฉานที่เราไม่รู้ว่าสุดท้ายเราจะพัฒนาไปทางเดียวกันหรือไม่ และทางไหน ยุคนี้คือยุคมี่มีความหลากหลายในการพัฒนา  บางส่วนพัฒนาไปอย่างสิ้นเชิง บางส่วนพัฒนาไปอย่างครึ่งๆกลางๆ บางส่วนพัฒนาตามสถาวะและสถาพทางสังคม

และนี่คือ V ผู้มาเยือน : sci-fi โพสโมเดิร์น ที่ไร้ซึ่งคำตอบที่สิ้นสุด  หนังเรื่องนี้โชคดีที่ไม่ทีจุดจบ เราสามารถไปจินตนาการต่อเอาเองตามแบบที่เราต้องการได้

แต่โลกจริงของเราไม่เป็นเช่นนั้น เราต้องมีจุดจบ ส่วนจุดจบของยุคโมเดิร์น จุดจบของมนุษย์จะเป็นแบบไหนนั่นอยู่ที่อนาคต มนุษย์ยังพัฒนาไม่ถึงจุดสูงสุดเลย เรายังอยู่ในยุคของความหลากหลายและขั้นตอนพัฒนาความเป็นเดรัจฉานที่หลากหลายเท่านั้น
หากนิพพานมีจริง มนุษย์ที่แท้จริงคงจะอยู่ที่นั่น

คนสร้าง "สายรุ้ง"


คุณเคยได้ยินเรื่องเล่าเรื่องนึงไหม..
ไม่สิ คุณคงไม่เคย
เพราะฉันเป็นคนแรกที่เล่าเรื่องนี้.....

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...นานตั้งแต่ "โลกของเรา" ยังเป็นเพียงทารกอยู่เลย...
มีผู้หญิงคนหนึ่ง...เธอมีหน้าที่ที่สำคัญบางอย่าง..
หน้าที่ของเธอก็คือ การสร้างสายรุ้งและความสุขให้กับทุกสิ่งมีชีวิตบนโลก
อ่อ ไม่ใช่สิ หน้าที่แรกของเธอ คือการสร้างความสุขให้กับสิ่งมีชีวิตบนโลก
ส่วนหน้าที่ที่สองของเธอ คือ สร้างสายรุ้ง...
รู้ไหม...ทำไมเธอถึงสร้างสายรุ้ง....
ฟังที่ฉันเล่าต่อไปนะ

ตอนแรก..โลกของเรามีนก....
"ถ้าฉันบินได้ ฉันคงมีความสุขมากๆเลย"
นกเคยบอกกับเธอ เธอจึงสร้างปีกให้นก

จากนั้นก็มีสุนัขตัวหนึ่ง
"ถ้าฉันเห่าได้นะ ฉันคงมีความสุขมากๆเลย"
แล้วเธอก็สร้างเสียงให้กับสุนัข

"ถ้าฉันสามารถว่ายน้ำได้ ฉันคงมีความสุขมากๆเลย"
แล้วเธอก็สร้างครีบและหางสำหรับว่ายน้ำให้กับปลา...

จากนั้นมาก็มีสิ่งมีชีวิตอีกเป็นพันล้านมาขอร้องเธอ เธอสร้างความสุขให้กับสิ่งมีชีวิตทุกชนิด..
ไม่ว่าจะเป็น ขาเพื่อให้กบกระโดดได้สูง

รูปร่างที่สง่างามของราชสีห์

เสียงร้องเพลงอันไพเราะของเหล่านกการเวก...

จนกระทั่งวันหนึ่ง.."มนุษย์" ก็เดินทางมาเธอ
"ช่วยสร้าง ความสุข ให้กับฉันหน่อยสิ"
หญิงสาวยิ้มให้และตอบตกลง....

และแล้ว เธอก็สร้างสายรุ้ง...ที่วาดผ่านในยามหลังฝนตกขึ้นมา

"สวยจังเลย" มนุษย์ว่า
แล้วมนุษย์ผู้นั้นก็ยิ้มอย่างมีความสุข..

ตลอดไป....

จนกระทั่ง....
โลกนี้เริ่มเปลี่ยนไป...
ใครก็ไม่รู้ มาสร้างสีสันในยามค่ำคืน ดวงไฟสดสวยหลากสีสันที่สุกสว่างวับแวม
"โอ้โห ดวงไฟนี้สวยงามยิ่งกว่าสายรุ้งเสียอีก มันสามารถทอแสงอย่างชัดเจนในความมืด ไม่เหมือนกับสายรุ้งที่จางหายไปเมื่อความมืดเข้ามา"
มนุษย์ว่า.....
"นี่เธอโกหกฉันงั้นเหรอ เธอไม่ได้สร้างความสุขให้ฉันเลย"
แล้วมนุษย์ ก็จากไป....

แต่เธอ ยังคงวาดสายรุ้งต่อไป...และต่อไป....

"พวกมนุษย์เป็นอะไรไปนะ"

พวกปลา มีความสุขเพราะอยากว่ายน้ำ
พวกนก มีความสุขที่ได้บิน...

มนุษย์มีความสุขที่ได้ฝัน...ความฝันอันสวยงาม...
และรอยยิ้มหลังจากผ่านคืนวันอันโหดร้าย...

นี่ไม่ใช่ความสุขที่มนุษย์ต้องการหรอกเหรอ...
ฉันทำอะไรผิดพลาดไป....

พวกเธอถึง ไม่ชอบ "สายรุ้ง" ของฉัน

เส้นด้าย สีรุ้ง

ฉันอยู่หมู่บ้านสงบ ในเมืองไม่สงบ (สงบไม่มีสุขนะจ๊ะ)

ฉันอยู่ในเมืองที่ชื่อว่า "เมืองไม่สงบ"
เมืองที่ฉันอยู่มีผู้คนมากมาย เมืองเล็กๆในส่วนหนึ่งของโลกที่คนไม่ค่อยรู้จักเท่าไหร่
หากจะพูดกันตามความจริง ไม่มีใครรู้จักเมืองของเราเลยต่างหาก
แต่เมืองเรากลับมีอิทธิพลอยู่ทั่วโลก อย่างเงียบๆ เงียบมากซะด้วย

เมืองของฉันมีพระราชาเป็นผู้ปกครอง  เป็นผู้ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างในเมืองเราให้อยู่ในความสงบ
พระราชามีชื่อว่า "กฏหมายนามธรรม"
แต่...พระราชาไม่ค่อยมีอำนาจหรอก เพราะพระราชามักจะหลับอยู่เสมอ
นานๆทีถึงจะตื่นมาดูแลบ้านเมืองสักครั้งนึง

เมืองเราจึงถูกปกครองด้วย "ชุมนุมรูปธรรม"
ชุมนุมรูปธรรมไม่ใช่ชุมนุมที่ถูกจัดตั้งมาอย่างเป็นทางการ
แต่เป็นการรวมกลุ่มของประชาชนเพื่อตัดสินและลงโทษบุคคลที่ทำให้บ้านเมืองไม่สงบ หรือพวกเขาคิดว่าทำให้ไม่สงบ
เพราะพระราชาชอบหลับ พวกเราก็เลยตัดสินกันเอง

ทุกวัน จะมีคนที่ทำผิดถูกจับมาขึงไว้บนแท่นไม้ตอกตะปู พวกเขาจะถูกขึงประจานไว้อยู่บนนั้น
ส่วนพวก "ชุมนุมรุปธรรม" ที่ยืนอยู่ด้านล่างก็จะพากันตะโกนต่อว่า
ไอ้เลว!!! ไอ้ชั่ว!!! ไอ้ฆาตรกร!!! ไอ้ตอแหล!!! หรือถ้อยคำตามที่พวกเขาจะคิด

ในทุกๆวัน เมืองของเราจะมีคนถูกขึงประจานเยอะมากๆ
ส่วนกลุ่มที่คอยมาชุมนุมก็จะมีเยอะบ้าง น้อยบ้าง ตามความสนใจและกระแสสังคมในขณะนั้น
มันเป็นสิ่งที่พวกเราชาวเมืองไม่สงบเห็นจนเป็นความเคยชิน
และเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนจะเข้าร่วมชุมนุมรูปธรรม
และก็เป็นเรื่องปกติอีกเช่นกันที่ผู้เข้าร่วมบางครั้งก็ถูกจับมาประจานแทน

การเลือกคนมาประจาน มันไม่ยากหรอก แค่หาใครสักคนที่ทำผิดกฏหมาย หรือทำให้เกิดความไม่สงบมาขึงประจาน เพราะความไม่สงบของเมืองเราไม่มีนิยามที่ชัดเจนเท่าไหร่ มันก็เลยง่ายมากที่จะหาคนมาประจานได้ทุกๆวัน
เพราะเมืองของฉันชื่อว่าเมืองไม่สงบสุข 

วันนี้ก็มีคนถุกประจานอีกเช่นเคย ฉันแอบตามไปดูด้วยนิดหน่อย
ทุกคนพากันตะโกนเสียงดัง ไอ่ฆาตรกร ฉันก็แอบแสดงความคิดเห็นอย่างเงียบๆ
มีผู้คนหันมามองฉันเล็กน้อย พวกเขาพยักหน้าเห็นด้วย ส่งยิ้มให้
แล้วฉันก็แอบถอนตัวออกมาเงียบๆเช่นเคย

การที่เราจะอยู่ในเมืองนี้ได้อย่างสงบสุขคือ เราต้องอยู่เงียบๆ
ไม่เป็นที่รู้จัก ไม่มีค่าพอให้ใครเอาความผิดของเราไปประจาน
เพราะเรามันเป็นประชาชนที่ไม่มีชื่อเสียงในสังคม
เหยียบมดตายก็ไม่ค่อยมีใครมามองเห็นเท่าไหร่
คนจะหันมาเห็นเรา ก็ต่อเมื่อเราไปฆ่าคนข้างบ้านนั่นแหละ
ยิ่งถ้าคุณฆ่าแบบวิปริตพิสดารมากเท่าไหร่
คุณดังสมใจแน่!!!

หลายๆครั้ง กลุ่มชุมนุมรูปธรรมก็จะโหวกเหวกโวยวายเสียงดังจนพระราชาตื่นขึ้นมา
พระราชาจะเดินมาดูด้วยความงัวเงีย พร้อมกับดูว่าผู้ถูกประจานเป็นใคร
ถ้าเป็นคนรู้จักของพระราชา พระราชาก็จะบอกว่า
"เอาเค้าลงมา แล้วปล่อยไปซะ" พูดจบพระราชาจะหาวเล็กน้อย แล้วเข้าไปหลับต่อ
แต่ถ้าคนถูกประจานเป็นคนที่พระราชาไม่รู้จัก
"เอาไปทำโทษตามกฏหมายรูปธรรมที่ชั้นบอก" พระราชาจะบอกแบบนี้ แล้วเดินกลับเข้าไป

โทษของคนทั่วไป จะถูกเนรเทศไปอยู่ในถ้ำมืด ตามความผิดของคนๆนั้น
แต่โทษของคนรู้จักของพระราชา คือ เขาจะไม่ได้ไปอยู่ในทำมืดแต่ยังคงมีชีวิตอยู่ในเมือง
พร้อมป้ายห้อยคอที่เขียนว่า "ไอ้ฆาตรกร" "ไอ้ตอแหล" "ไอ้ชั่ว" หรืออะไรก็ตามที่เขียนบอกความผิดของพวกเขาไว้ 
พวกเขาจะห้อยป้ายประจานตัวเองอย่างนี้อยู่ในเมือง จนกว่าทุกคนจะเริ่มลืมเลือน หรือมีใครให้น่าสนใจมากกว่า ป้ายก็จะเริ่มหายไป

ในเมืองไม่สงบสุขมีคนถูกประจานเยอะมาก ซ้ำไป ซ้ำมา เวียนกันไปบ้าง
เป็นอย่างนี่อยู่เรื่อยๆทุกวี่ทุกวัน จนเป็นเรื่องปกติ
เราถูกประจาน เราไปตะโกนก่นด่าผู้อื่น เราเครียด เราต้องห้อยป้าย ป้ายของเราเลือนหาย คนอื่นถูกประจาน พระราชาตื่นมาตัดสินบ้างถ้าเสียงดังมากจนไปรบกวนการนอนหลับของพระราชา พระราชาตัดสินโทษ แล้วพระราชากลับไปหลับต่อ
เป็นอย่างนี้ทุกวัน..

นี่คือเรื่องราวของเมืองที่ฉันอยู่

ส่วนฉันเป็นชนกลุ่มน้อยของเมือง เราจะมีหมู่บ้านหนึ่งอยู่ในมุมแคบๆ ชื่อหมู่บ้านสงบ
ไม่ค่อยมีใครสนใจเรา ไม่เห็นเรา เพราะเราไม่มีอะไรน่าสนใจ
พวกเราไม่ค่อยร่วมชุมนุม พวกเราอยู่กับเงียบๆ
ไปเดินเล่นตามสวนสาธารณะที่ว่างเปล่าของเมือง ที่มีแต่คนในหมู่บ้านสงบสุขไปเดิน
ไปห้องสมุดประชาชนหาหนังสืออ่านโดยไม่มีใครแย่ง เพราะคนส่วนใหญ่ไปชุมนุมรูปธรรมกันหมด
จากนั้นก็เดินทอดหุ่ยข้างทาง หาอะไรกิน กลับมานอน ตื่นมาทำงาน มีชุมนุมก็แอบไปร่วมดูบ้าง
แสดงความคิดเห็น แล้วเดินจากมาเงียบๆ ไม่มีใครจำได้ ไม่มีใครรู้จัก
และคนในหมู่บ้านเราก็ไม่มีใครเคยถูกขึงประจานเลย

ฉันอยู่หมู่บ้านสงบ ในเมืองไม่สงบ
.....................................................


เรื่องนี้อาจจะดู "อินดี้" ไปหน่อยนะคะ คืออ่านแล้วไม่รู้เรื่อง
บางทีในสังคมอันแสนยุ่งยาก การเขียนอะไรที่ "ไม่รู้เรื่อง" มันทำให้ชีวิตเรายังสงบ
ไม่วุ่นวาย

ฝันร้ายของพระเจ้า

ในวันหนึ่ง....
ฉันได้ลืมตาขึ้นมาดูโลกอย่างช้าๆ

"สวัสดีเจ้าตัวน้อย ยินดีต้อนรับสู่โลก"
นี่คือประโยคแรกที่พ่อทักทายฉัน

ฉันมองไปรอบตัว มองไปยังสิ่งมีชีวิตแปลกๆ ด้วยความสงสัย
"นั่นคือมนุษย์ ทาสของพวกเรา" พ่อบอกฉัน

ฉันตาลุกวาวด้วยคำพูดของพ่อ ฉันเพิ่งเกิด แต่ฉันมีทาสด้วยเหรอเนี่ย
ฉันลองมองสำรวจพ่อ 
ตัวผอมบางแทบจะปลิวได้ บนร่างกายสลักลายไปด้วยอักษรและรูปภาพที่ฉันไม่รู้จัก
ฉันก้มลงมองตัวเอง ฉันก็เป็นแบบนั้นเช่นกัน แต่คนละสีกับพ่อ พ่อมีสีเทา ส่วนฉันมีสีม่วง

"พวกเรามีหลายเผ่าพันธุ์ " พ่อเริ่มอธิบายเกี่ยวกับความเป็นมาของเรา
"เจ้า พ่อ และพวกนั้น" พ่อชี้ไปที่พวกสีแดง และสีเขียว 
"เป็นเผ่าเดียวกัน ให้เจ้าดูจากลายสลักบนร่างกายเรานี่ จะเหมือนกัน"
ฉันก้มลงมองตัวเอง และพวกเขาที่กระจัดกระจายอยู่ตามที่ต่างๆ บนโต๊ะบ้าง ในลิ้นชักบ้าง ในมือทาสของเรา หรือแม้กระทั่งพวกที่เกิดใหม่เหมือนฉัน

"ส่วนพวกนู้น" พ่อชี้ให้ดู พวกที่อยู่ไกลๆ อยู่ในตู้กระจกที่ถูกล็อกไว้อย่างแน่นหนา
"พวกนั้นเป็นเผ่าอื่นๆลายสลักของร่างกายจะไม่เหมือนพวกเรา"

ฉันเริ่มเข้าใจแล้ว มันเป็นแบบนี้นี่เอง แต่ฉันก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่สงสัยอยู่
"พ่อ เราเป็นพระเจ้าจริงๆเหรอ พ่อดูสิ ตรงนั้น พวกมนุษย์สร้างเราไม่ใช่เหรอ"
ฉันชี้ไปยังพวกที่เกิดใหม่
"ใช่แล้ว มนุษย์สร้างเราก็จริง แต่พวกเขาให้เราเป็นพระเจ้า ให้เรามีอำนาจเหนือพวกเขา เจ้ายังเด็กนักลูกเอ๋ย เจ้ายังไม่รู้โลกกว้าง ดังนั้น พอจะพาเจ้าออกไปดูโลกกว้าง เจ้าจะได้รู้จักอำนาจของพวกเรามากขึ้น"
พ่อหันไปบอกแม่ที่มีสีเดียวกับพ่อ และน้องสีเขียวที่กำลังเล่นกับน้องโลหะกลมแบนหลากหลายขนาดอยู่อยู่
"ไปสิ" แม่พยักหน้าตกลง แล้วก็หันไปจัดการกับพวกน้องๆต่อ

.....................................................................
พ่อพาฉันมาสถานที่แห่ง พ่อบอกว่า พวกมนุษย์เรียกที่นี่ว่า ห้างสรรพสินค้า
"ดูนั่นสิลูก ลูกเห็นมั้ย นั้นคือร้านกาแฟ"
"ร้านกาแฟเหรอพ่อ"
"ใช่แล้ว ลูกดูนั่นสิ"
ฉันเห็นผู้คนหยิบเหล่าพี่ๆน้องของฉันเพื่อนยื่นให้กับมนุษย์อีกคน
"พวกเขาต้องมีเรา พวกเขาถึงจะเข้าไปอยู่ในร้านนั้นและนำกาแฟเหล่านั้นมากินได้ ถ้าไม่มีเรา พวกเขาก็จะเป็นแบบนั้น"
พ่อชี้ไปยังมนุษย์ที่สกปรกมอมแมม นั่งถือถ้วยกาแฟเปล่าสกปรกอยู่ข้างถนน
"เขาทำอะไรเหรอพ่อ พวกนั้นน่ะ"
"เขากำลังขอพวกเราอยู่ เพื่อที่เขาจะได้มีอำนาจมากขึ้น หรือมีมากพอที่จะดำเนินชีวิตได้ ในโลกใบนี้ ถ้าขาดเราไป พวกมนุษย์จะลำบากมาก"
ฉันเริ่มเข้าใจโลกนี้ขึ้นมานิดหน่อยแล้วล่ะ แล้วเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมฉันถึงเป็นพระเจ้า
มนุษย์ต้องการฉัน ต้องมีฉันเพื่อให้พวกเขาดำเนินชีวิตอยู่ได้ พวกเขาสร้างฉัน แต่กลับต้องมาง้อฉัน
โง่จริงๆเลย....

พ่อพาฉันเดินไปยังที่อื่นๆต่อ
"ดูนั่นสิลูก" พ่อชี้ไปยังแผ่นพลาสติดแบนๆใหญ่ๆที่มีภาพฉายอยู่ในนั้น
"รถยนต์แสนสบาย เพื่อชีวิตที่ดีสำหรับคุณ"
"เห็นในนั้นมั้ยลูก สิ่งที่มันฉายอยู่ในนั้นเรียกว่าโฆษณา ทุกอย่างในนั้น ทุกอย่างที่อยู่ในโฆษณาล้วนต้องใช้เพื่อเราแลกเพื่อที่จะเป็นเจ้าของทั้งนั้น"
พ่อบอก ฉันเริ่มสงสัยอีกครั้ง
"แปลกจังพ่อ ผมไม่เข้าใจเลย ในเมื่อพวกเขาเองก็สร้างสิ่งที่อยู่ในโฆษณา เราไม่ได้สร้างด้วยซ้ำ แต่มนุษย์กลับเอาเรามาเพื่อแลกสิ่งเหล่านั้น มันเหมือนพวกมนุษย์สร้างอะไรขึ้นมา แล้วเอาสิ่งที่ตัวเองสร้างขึ้นมามาแลกอีกที  พวกมนุษย์นี่แปลกจัง"

"พ่อยอมรับว่าพ่อก็ไม่เคยเข้าใจมนุษย์เหมือนกันแหละลูก มนุษย์เป็นอะไรที่ซับซ้อน และชอบมีพฤติกรรมแปลกๆอยู่เสมอ ลูกลองมองไปที่มนุษย์กลุ่มนั้นสิ"
ฉันมองไปตามพ่อ กลุ่มเด็กผู้หญิงกำลังจิ้มๆอะไรอยู่ ซึ่งภายหลังพ่อบอกผมว่า มันเรียกว่าไอโฟน

"แก๊....พรุ่งนี้ไอโฟนห้าจะออกละนะ ไปจองกันป่ะ"
"ไปสิแก๊.... เดียวซื้อไม่ทันคนอื่น"
"ดีเลยแก เดียวเราไปรอที่ไอสตูดิโอกันเช้าๆนะแก เดี๋ยวแถวจะยาวน่ะ"
"ตกลงตามนั้นแก ขอดูตังค์นกระเป๋าก่อน เดือนนี้จะเหลือกี่บาทเนี่ย เดี๋ยวชั้นได้กินมาม่าทั้งเดือนแน่เลย"

ฉันมองไปยังพวกเธอที่หยิบเหล่าพี่ๆน้องของผมออกมา
"พ่อดูสิ พวกเธอมีพ่อตั้งสี่ห้าใบ พวกเธอต้องมีอำนาจมากแน่ๆ" ฉันหันไปถามพ่อ แต่พ่อส่ายหน้า
"ลูกเอ๋ย เจ้ายังไม่เข้าใจ เดี่ยวพรุ่งนี้พ่อจะพามาดูใหม่"

...........................................
วันนี้พ่อพาฉันมาอยู่ที่หน้าไอสตูดิโอ มีมนุษย์เต็มไปหมด พ่อชี้ไปยังผู้หญิงกลุ่มเดิมที่ฉันเห็นเมื่อวาน
"พ่อดูนั่นสิ" ฉันเห็นเธอเดินออกมาพร้อมไอโฟนรุ่นใหม่ ผู้หญิงที่มีอำนาจคนนั้น
เธอล้วงเข้าไปในกระเป๋าใบเล็กๆของเธอ ในนั้นมีเพียงน้องสีแดงของผมสองใบ
"พ่อ เธอไม่ค่อยมีอำนาจแล้วล่ะ" ฉันหันไปบอกพ่อ
"ใช่แล้วอำนาจเธอหายไปแล้ว เพราะเธอเหลือเราเพียงแค่นั้น ยิ่งพวกมนุษย์มีเรามากแค่ไหน เขาก็จะมีอำนาจแค่นั้น" 

แล้วพ่อก็พาผมไปยังสถานที่ที่เรียกว่าธนาคาร
"ที่นั่น คือที่ที่เราอยู่"
พ่อพาผมเดินออกไปข้างนอก บางคนกำลังขายของ บางคนกำลังพิมพ์ดีด บางคนกำลังบริการลูกค้า บางคนกำลังคุยโทรศัพท์อย่างจริงจัง
"สิ่งที่พวกมนุษย์ทำ ล้วนมีผลตอบแทนคือพวกเรา มนุษย์ต้องการเรา มนุษย์คิดว่าตัวเองมีอำนาจ แต่จริงๆแล้ว พวกเขามีอำนาจเพราะเรา มนุษย์มันน่าโง่ สร้างเรามาเพื่อให้เป็นพระเจ้า สร้างเรามาเพื่อให้มีอำนาจเหนือกว่า"  พ่อและฉันต่างหัวเราะสะใจ 
ก่อนจะเดินทางกลับบ้านด้วยความภาคภูมิในอำนาจที่ตนมี

ฉันกลับมาบ้านด้วยความสุขและนอนหลับไป
แต่คืนหนึ่งฉันก็ฝันร้าย

ในความฝัน ฉันอยู่บนโลกใบหนึ่ง โลกที่มีธรรมชาติสวยงาม อากาศแจ่มใสกว่าโลกที่ฉันอยู่มากนัก
ฉันทอดกายอยู่บนผืนหญ้านุ่มอย่างมีความสุข เผ่าพันธุ์ของฉันไม่รู้หายไปอยู่ที่ไหนกันหมด

ในขณะที่ฉันกำลังคิดว่าตัวเองครองโลกอย่างพระเจ้า พวกมนุษย์ทาสของผมก็เดินผ่านมา
เด็กผู้หญิงตัวเล็กตากลม เธอหยิบผมขึ้นมา ผมยิ้มผยอง 
เดี่ยวเจ้าทาสคนนี้จะได้มีอำนาจเพราะผมอย่างแน่นอน ผมจะป็นพระเจ้าของเธอ

"แม่อันนี้กระดาษอะไรคะ" เด็กสาวน้อยหันไปถามผู้หญิงที่เธอเรียกว่าแม่พร้อมกับยื่นผมให้ หญิงคนนั้นต้องดีใจมากแน่ๆ
"ไม่รู้สิลูก กระดาษอะไร สกปรก ทิ้งไปเถอะ เอาผลไม้ของเราไปแลกเนื้อหมูกับตามาดีกว่าลูก"
"เหรอคะ หนูก็ว่างั้นแหละ" เด็กสาวพยักหน้าเห็นด้วยพร้อมกับโยนฉันทิ้ง ฉันปลิวไปหล่นในน้ำขังสกปรก ไม่พอ พ่อกับน้องชายของเธอที่เดินตามมาข้างหลังยังเหยียบฉันซ้ำอีก นี่มันอะไรกันเนี่ย 
ฉันคือพระเจ้านะ!!!!!!!

ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ พ่อรีบมาถามฉันด้วยความเป็นห่วง
ฉันเล่าเรื่องฝันร้ายให้พ่อฟัง
พ่อยิ้มให้พร้อมกับบอกว่า

"ลูกพ่อ มันก็แค่ฝันร้ายเท่านั้นแหละ มันไม่มีวันเป็นจริงได้หรอก"
โดย เส้นด้ายสีรุ้ง

****บทความมีลิขสิทธิ์ตามกฏหมายนะคะ นำไปเผยแพร่ต่อกรุณาให้เครดิตผู้เขียนด้วยค่ะ





เพราะอยากจะคิด...ก็เลยเขียน

สวัสดีค่ะ...

นี่เป็น Blog ที่เราสร้างขึ้นมา เพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเองล้วนๆเลย
คือ ความต้องการ "ด้านการคิด"

ปกติ หลิวเป็นคนชอบคิด แต่นานๆครั้งจะเอามาเขียนอย่างเป็นทางการ 
ส่วนมากจะบ่น จะพูดถึงอยู่ใน facebook ส่วนตัวของตัวเองมากกว่า

จนวันนึง หลิวเริ่มสังเกตว่า มีคนเริ่มมาสนใจการวิพากษ์วิจารณ์ของหลิวเองในเฟสมากขึ้น
บางครั้งก็มาถามว่า ทำไมไม่ลองพูดถึงเรื่องนี้ดู เรื่องนั้นบ้าง...
หรือบางทีก็มีรุ่นน้องมาขอคำแนะนำ (ไม่น่าเชื่อเล้ยยยยยย...)
หลิวเลยคิดว่า เอาแบบนี้แล้วกัน
สร้าง Blog เขียนแบบเป็นเรื่องเป็นราวเลยดีกว่า

เพราะส่วนนึง หลิวก็อยากพัฒนาด้านความคิดของตัวเองไปเรื่อยๆค่ะ สมองจะได้ไม่ฝ่อไปซะก่อน
ขออนุญาติออกตัว ณ ทีนี้ก่อนเลยว่า
หลิวไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับงานวิจารณ์อะไรทั้งสิ้น

บทความที่หลิวเขียนออกมา ทั้งหมดจะออกมาจากการคิดวิเคราะห์ของหลิวเอง
โดยใช้บริบททางสังคม และทฤษฎีทางวรรณคดีวิจารณ์ และวรรณคดีเปรียบเทียบ มาใช้บ้างตามความสามารถและความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมาค่ะ 
มันอาจจะไม่ได้สมบูรณ์แบบนัก แต่หลิวจะพยายามพัฒนาไปเรื่อยๆ เพราะหลิวชอบทางด้านนี้ค่ะ แล้วตัดสินใจว่าจะเรียนต่อทางด้านนี้ด้วย(ตอนนี้จบป.ตรีแล้วค่ะ)

โดยส่วนตัว หลิวไม่ได้เป็นคนมีสาระมากมายเท่าไหร่ (ในการเรียน)
ไม่ใช่เด็กเรียนนั่งหน้าห้อง จำตัวหนังสือได้ทุกตัวอักษร 

ถ้าพูดคำว่านักเรียนดีเด่น คนแรกที่ถูกตัดออกคือหลิวแน่นอน
เพราะหลิวไม่ใช่นักเรียนดีเด่นค่ะ หลิวเป็นพวกเรียนเพราะอยากรู้ 
เรื่องไหนไม่อยากรู้ก็ไม่ค่อยสนใจมันเท่าไหร่เอาแค่ผ่าน
แต่ถ้าเป็นเรื่องไหนที่อยากรู้ 
หลิวสามารถบ้าศึกษามันได้มากกว่า 8 ชั่วโมงติดต่อกัน (เคยมาแล้วจริงๆนะ)
และปัจจุบัน 
หลังจากที่เรียนจบก็เริ่มรู้จักตัวเอง 

ความจริงต้องบอกตรงๆว่ารู้จักตัวเองน่าจะสักประมาณปีสามปลายๆ
เพราะตอนนั้นมีวิชาวรรณกรรมเปรียบเทียบ รวมไปถึงวิชาอื่นๆ 
ขออนุญาติเอ่ยชื่่ออาจารย์นะคะ

ผู้สอนคือ อ.ดร.บัวริน วังคีรี อาจารย์ท่านนี้เป็นอาจารย์ที่จุดประกายในด้านการคิดวิเคราะห์ให้หลิว
เริ่มจากที่ได้ลงเรียนกับอาจารย์ อาจารย์ท่านสอนยากค่ะ
แต่สอนเราอย่างเต็มที่ ตอนแรกหลิวก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองบ้าลงเรียนวิชาที่อาจารย์ท่านสอนขนาดนั้น ทั้งๆที่แต่ละวิชา ท่านสอนแบบโหดหินเหลือเกิน 
เทอมนึงมีหนังสือให้อ่านมากกว่า 10 เล่ม (ไอ่เราก็อ่านบ้างไม่อ่านบ้าง ...แต่พอเรียนจบแล้วดันเอามาอ่านหมด ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ทำไมตอนเรียนไม่ค่อยจะอ่าน) 
สุดท้ายเราก็เลยเริ่มซึมซับ เริ่มวิเคราะห์เป็น (จากแรกๆที่ไม่ค่อยเก็ทเท่าไหร่)  
ค่อยๆเก็บเกี่ยวความเคยชิน และเรียนรู้ตัวเองจนเกือบจบปี 4 สุดท้ายก็ค้นพบสิ่งที่ตัวเองต้องการ (จะเรียนจบละ เพิ่งค้นพบ) 

"ฉัน...ชอบบบบบ วิเคราะห์ สังคม อ้ากก อ้ากกกก"

บางคนอ่านมองว่าไร้สาระ แต่หลิวมองว่าการคิดวิเคราะห์มันทำให้เรารู้อะไรมากขึ้น
หลังจากนั้นก็เริ่มคว้านู่น คว้านี่มาอ่าน ทรัพยากรอันมีคุณค่าที่อาจารย์คอยพร่ำบอกให้เก็บไว้และให้ไปถ่ายเอกสาร (ซึ่งเราก็ทำตาม ถึงจะไม่ค่อยซาบซึ้งเท่าไหร่ว่าจะถ่ายไว้ทำไมนักหนา ) 
ก็เริ่มหามาอ่าน หามาศึกษา

บอกตรงๆค่ะ หลิวมาศึกษาหลังเรียบจบแล้วจริงๆ
อาจด้วยเพราะ พอจบ เราได้ลองทำงาน ลองทำอะไรหลายๆอย่าง ฝึกงานเลขา สอนพิเศษ ทำเว็บไซด์ ทำseo ขายสินค้า pre-order ทำมาหมดแล้วทุกอย่าง มันก็รู้สึกว่าเราทำไปวันๆ ทำไปสักพักก็เบื่อ รู้แล้ว ทำได้แล้วก็เริ่มสนใจ เริ่มหมดความอยากรู้ 

อย่างหลิวเคยทำ SEO เนี่ย หลิวเคยบ้าศึกษา ทำเองคนเดียว บ้าเองคนเดียวอยู่ประมาณ 2-3 เดือน ทำจนเว็บไซด์ที่ตัวเองสร้าง (เว็บไซด์ก็ทำเองค่ะ บ้าช่วงนึงเหมือนกัน) ติดอันดับ คนเริ่มรู้จัก เริ่มขายของได้ ก็เลยหยุดละ เหมือนเราไปถึงจุดมุ่งหมายที่เราต้องการแล้ว
คือตอนแรกน่ะ หลิวแค่สงสัยว่า ถ้าเราขายของทางอินเทอร์เนต เราจะขายได้มั้ย หลิวว่างๆ และชอบของสวยๆงาม(แต่ไม่ชอบซื้อ มันเปลือง) เลยลองเอามาขายดู แต่การขายของก็ต้องมีอะไรหลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการทำการตลาด สร้างเว็บไซด์ หาของมาขาย 
ในทีนี้บอกตรงๆเลยว่า หลิวเป็นคนงกมาก ในตอนนั้นหลิวคิดว่า
"ฉันแค่อยากลองว่ามันจะขายของทางเนตยังไง" 
คิดแบบคนที่จะไม่ยอมลงทุนอะไรเลย หรือถ้าลงทุนจะต้องน้อยที่สุด จนสุดท้าย หลิวทำมันเองทุกอย่าง
ตั้งแต่ทำเว็บ ออกแบบแบนเนอร์เอง ทำSEOเอง ไม่พอสินค้าที่ขายหลิวยังหาทางที่จะไม่ลงทุนกับมัน เลยไปศึกษาธุรกิจแบบ Dropshipping จนไปไกลกว่านั้นคือนำเข้าสินค้า pre-order จากจีนในที่สุด
ทำเองทุกอย่างค่ะ ศึกษาเองทุกอย่าง หาจาก google บ้าง ไม่ก็ไปแอบเปิดหนังสืออ่านตามร้านหนังสือบ้าง (แย่เนอะ)  จากที่ไม่เคยทำ ก็บ้าศึกษา คือต้องทำให้ได้อ่ะ มันจะเหนื่อยยังไงไม่สน ต้องทำให้ได้ หลิวถือว่ามันเสียแค่แรง มันไม่ได้เสียเงิน เราลงทุนแค่แรงกับสมอง แล้วมันก็สำเร็จ จากนั้นความอยากรู้ก็จางหายไป ปัจจุบันก็ยังคงทำอยู่ค่ะ (มันสร้างรายได้อ่ะ) แต่ไม่ได้บ้าศึกษาข้ามวันข้ามคืนแบบช่วงที่ทำใหม่ ก็ทำไปเรื่อยๆ...เช็คออเดอร์ไปตามประสา

พอความตื่นเต้นจากประสบการณ์ใหม่หมดไป หลิวก็เริ่มกับมาอยู่จุดๆเดิม เริ่มคิดเริ่มเขียน ตอนนี้เองนี่แหละที่รู้ว่า อะไรที่เราชอบ อะไรที่เราไม่เคยเบื่อมัน อะไรที่เราทำจนกลายเป็นความเคยชินโดยที่เราไม่รู้ตัวและมองข้ามมันไป

สิ่งนึงที่หลิวยังไม่เลิกทำคือ ชอบอ่านหนังสือ ดูหนัง ดูอะไรต่างๆ แล้วเอามันมาวิเคราะห์ค่ะ (โดยไม่รู้ตัว) พร่ำบ่นลงในเฟสบ่อยๆ แล้วมันก็หายไป
เพราะสถานะเฟสบุ๊คชอบเลื่อนหายสาปสูญ สุดท้ายเลยตั้งใจสร้าง Blog นี้ขึ้นมาค่ะ
เอาไว้คิดวิเคราะห์ เอาไว้ฝึกปรือสมอง 

เพราะหลิวตั้งใจว่าจะสอบเรียนต่อทางด้านวรรณคดีเปรียบเทียบ
เพื่อเป็นศึกษาสิ่งที่เราอยากรู้เพิ่มมากขึ้น  แต่ก่อนจะสอบ เราก็ต้องหัดคิด หัดเขียนให้เยอะๆ
เพราะไม่งั้นคงสอบไม่ผ่านจริงมั้ยคะ อีกอย่างถึงแม้ว่าในท้ายที่สุดแล้วหลิวจะสอบไม่ผ่านก็ตาม
หลิวก็ยังคงจะฝึกคิดฝึกเขียนแบบนี้ไปเรื่อยๆอยู่ดี
การคิดทำให้เรารู้จักโลกมากขึ้น มองโลกมากขึ้น เข้าใจโลกมากขึ้น

คราวหน้า หลิวจะของเริ่มต้น บทความ "เพราะอยากจะคิด ..ก็เลยเขียน" ของหลิว
หลิวจะเขียนความคิดของหลิวเกี่ยวกับเรื่อง V ผู้มาเยือนนะคะ (เพราะหลิวชอบเรื่องนี้มากๆเลย)
เขียนตามสไตล์หลิวเอง เป็นความคิดของหลิวที่เอามุมมองและหลักการทางทฤษฏีเกี่ยวกับวรรณกรรมมาใช้บ้าง แต่บอกเลยว่าไม่เยอะ
เพราะหลิวไม่อยากให้มันเป็นบทความที่เป็นวิชาการ อะไรแบบนั้น หลิวอยากให้ดูชิลๆ สนุกๆ เข้าใจง่ายมากกว่า

ตอนหน้า มาพบกับ
V ผู้มาเยือน กับหัวข้อ
"ฉันเห็นอะไร ในV"

By....เส้นด้าย สีรุ้ง


ปล.เฮดด้านบนอาจจะทำให้งงๆ ตอนแรกคือหลิวสมัคร blog นี้มาเขียนบทความทำ SEO ให้กับร้านตัวเอง rainbowsilkshop เลยทำเฮดแบบนั้น ปัจจุบันอยากเปลี่ยนเฮดเหมือนกันค่ะ แต่หาไม่เจอว่ามันเปลี่ยนตรงไหนเลยค้างเติ่งอยู่แบบนั้น ถ้าใครพอรู้วิธีแก้ช่วยแนะนำ จะขอบพระคุณมากๆเลยค่ะ