เสียดาย คนตายไม่ได้เล่า 9 : ผีอำ
มีสิ่งหนึ่งที่เป็นปัญหาค้างคาใจของใครหลายคนมาตลอด
คือ "เรื่องของผีอำ"
บางทีเราก็สงสัยว่า เป็นเพราะผีจริงๆ...
หรือเป็นแค่ความผิดปกติของร่างกายเราเท่านั้น
หลิวว่า มันก็อาจเป็นไปได้ทั้งสองอย่างค่ะ....
ไม่ว่าจะเป็นทางด้านร่างกาย หรือเพราะเกิดจากวิญญาณ...
แต่วันนี้ หลิวจะเล่า.ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจากวิญญาณ...
มาดูกันว่า ถ้าเกิดขึ้นแล้วต้องทำยังไง....
แก้ไขแบบไหน...
เพื่อความปลอดภัยของชีวิตเราเองนะคะ
เอาตรงๆ เลย ที่จริงแล้ว
ผีอำ ที่เกิดจากวิญญาณจริงๆ ไม่ได้โดนกันง่ายๆ ค่ะ
เพราะการที่วิญญาณจะทำร้ายใครสักคน
นั้นต้องพลังงานมากมายเลยทีเดียว
ดังนั้น...หลิวคิดว่า ส่วนใหญ่อาจจะเกิดจากสภาพร่างกายมากกว่า..
ลองแก้ไขตามหลักวิทยาศาสตร์ก่อน
แล้วถ้าไม่ได้จริงๆ จะลองดูวิธีอื่นก็ไม่เสียหายค่ะ
ตั้งแต่เกิดมา หลิวเคยเจอผีอำแค่ครั้งเดียว...
ทั้งๆที่หลิวเห็นวิญญาณง่ายมาก
แต่กล้าพูดเลยว่า น้อยมากที่วิญญาณจะทำร้ายเรา
(อย่าไปเชื่อหนังผีเยอะ...อิอิ)
ถ้าเค้าไม่ได้เคืองแค้นอะไรกับเราจริงๆ
ก็ไม่อยากก่อเวรก่อกรรมอะไรกับเราเพิ่มหรอกค่ะ
มาถึงเรื่องหลิว เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้ยังไง
ต้องบอกว่า เกิดขึ้นที่หอพักแห่งหนึ่งค่ะ
ระหว่างที่หลิวกำลังนอนหลับอยู่ ช่วงหัวค่ำ
แล้วสักพักหลิวก็ตื่น ที่จริงไม่ได้ตั้งใจจะนอนค่ะ
แค่งีบหลับเฉยๆ เพราะความเหนื่อย
แต่พอลืมตาขึ้นมา ก็ขยับไม่ได้เลยค่ะ
บอกเลยว่าลืมตาได้ เห็นเพื่อนนั่งเล่นคอมอยู่ตรงปลายเท้า
เพราะโต๊ะคอมอยู่ตรงนั้นค่ะ
โดยเพื่อนนั่งหันหลังให้หลิว
แต่หลิวขยับไม่ได้ค่ะ ปากก็พูดไม่ได้
คือทำอะไรไม่ได้เลย
สักพักก็เริ่มคิดแล้วค่ะ ว่าเอายังไงดี
ตอนนั้นคิดว่าน่าจะคอเคล็ด หรืออะไรสักอย่าง
พยายามขยับตัว แต่ทำอะไรไม่ได้ จนได้ยินเสียงในหัวค่ะ
"กูไม่ปล่อยมึงหรอก"
เป็นเสียงผู้หญิง ค่อนข้างดุและไม่พอใจมาก
หลิวพยายามขยับ ตอนนั้นคิดอะไรไม่ทันค่ะ สะลืมสะลือ
แต่ก็รู้แล้วว่าเพราะอะไร
เลยสวดมนต์ค่ะ สวดอะระหังสัมมา สวดในใจ
เชื่อมั้ย...เกิดอะไรขึ้น
วิญญาณตนนั้นตะคอกกลับมาอีกเหมือนเดิม
"กูไม่กลัว"
ทีนี้ตกใจเลยค่ะ บทสวดมนต์ช่วยไม่ได้
คือรู้เลยว่า โอกาสรอดน้อยมาก เพราะเค้าไม่ให้เราขยับเลย
และเริ่มหายใจลำบากแล้ว
ตาเราได้แต่มองเพื่อน สิ่งที่เจอคือ เพื่อนไม่แม้แแต่เหลียวมามองเลยค่ะ
เหมือนอะไรบังตาเค้า
ถามว่าหลิวรู้สึกยังไง ตอนนั้นยอมรับว่ากลัวจริงๆ ค่ะ
คิดว่าโอกาสรอดคนน้อยมาก
ถ้าวิญญาณเค้ามีพลังจนสามารถทำได้ขนาดนี้
อีกอย่างหลิวเป็นคนไม่ห้อยพระด้วย
สรุปคือ ไม่มีอะไรคุ้มครองเราเลยค่ะ
บทสวดก็ช่วยไม่ได้..
แล้วทำยังไง
สุดท้ายพอสิ้นหนทางค่ะ เราไม่รู้จะทำยังไงแล้ว
ที่นี่เลยคิดในใจค่ะ
"ถ้ากุตาย กุจะตามไปจองเวรมึง"
หลิวคิดชั่วๆ แบบนี้เลยค่ะ โมโหจัด
ก่ะว่าเป็นผีก็ไปตีกันแบบผีๆ นี่แหละ มาทำร้ายเราทำไม
เท่านั้นแหละ หาย...ขยับได้เลย
วิญญาณตนนั้นหายไป
ถามว่าแนะนำวิธีนี้มั้ย.
ขอแนะนำให้ใช้เป็นวิธีสุดท้ายค่ะ
เพราะหลิวเคยนำเรื่องนี้ไปถามพี่คนหนึ่ง
เค้าเป็นคนศึกษาธรรมมะ อาจเรียกได้ว่าเชี่ยวชาญในระดับหนึ่งเลยทีเดียว
คุณเหน่ง ผาสุขธรรมค่ะ
พี่เค้าบอกว่า จริงๆ วิธีนี้ไม่ควรทำ
เพราะจะเป็นบาปกรรมกันเปล่าๆ
วิธีที่ถูกต้องคือการแผ่เมตตาให้เค้า
เพราะวิญญาณเหล่านี้เค้าต้องการส่วนบุญ
การสวดมนต์บางทีอาจเหมือนการไล่เค้า
บางตนอาจยิ่งโกรธ
หลิวเลยคิดว่าจริงด้วย หลิวไม่ได้แผ่เมตตาจริงๆ ค่ะ
ลืมนึกไปเลย...
ถ้าใครเจอแบบนี้ อยากให้ลองแผ่เมตตาดูก่อนค่ะ
เพราะวิญญาณก็เหมือนคน...
อาจจะไม่รู้ว่าต้องมาขอส่วนบุญในรูปแบบไหน
เลยมาแบบนี้...
สำหรับตอนหน้า ตอนที่ 10 จะเป็นตอนสุดท้ายนะคะ...
หลังจากในนั้นจะรวมเล่มออกเป็น E-book
โดยในอีบุ๊คจะมีเรื่องเพิ่มอีก 2 เรื่อง....
คือเรื่องทำแท้งและตัวตายตัวแทนค่ะ...
ปัจจุบันยังไม่มีรวมเล่ม
(เพราะหลิวยังไม่ได้ส่งสนพ.ค่ะ)
ส่งไปก็ไม่แน่ว่าจะผ่านมั้ยค่ะ
เลยทำเป็นอีบุ๊คดีกว่า...
เผื่อใครอยากโหลดอ่านกันค่ะ
[เรื่องสั้น -โรแมนติค] ความทรงจำที่ถูกลืม
สวัสดีค่ะ...
วันนี้แวะมา...อัพเรื่องรักโรแมนติคบ้าง...
เป็นเรื่องสั้นๆ...จบในตอนเลย
หวังว่าจะชอบกันนะคะ
++++++
7.00 a.m. (วันนี้อากาศอบอุ่น) 14 มกราคม 2558
ลมพัดเย็นสบายผ่านหน้าฉันไป
ฉันนั่งอยู่ที่ป้ายรถเมล์ที่แสนเปล่าเปลี่ยวเหมือนทุกวัน
แต่วันนี้มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เหมือนเดิม
ป้ายรถเมล์ที่เงียบเหงาและอ้างว้างที่เคยมีฉันนั่งรอรถเมลล์อยู่เพียงคนเดียว
วันนี้แปลกไป
เพราะมีผู้ชายอีกคนนึงมานั่งอยู่ด้วย เขาน่ารักนะ
เขาหันมายิ้มให้กับฉัน ฉันจึงยิ้มตอบกลับไป
แต่เราก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกัน
ฉันรู้สึกประทับใจเขาตั้งแต่แรกเห็น
เหมือนเราเคยรู้จักกันมาก่อน
ฉันแอบมองเขาบ่อยๆจนกระทั่งรถเมล์มา
ฉันยิ้มให้เขาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเดินขึ้นรถเมล์ไป เขา...น่ารักจริงๆ
7.00 a.m. (อากาสร้อนชะมัดเลย) 15 มกราคม 2558
ฉันเดินมานั่งรอที่ป้ายรถเมล์เหมือนเดิม
อากาศวันนี้ร้อนสุดๆ
ผู้ชายคนนั้นยังนั่งอยูที่เดิมเหมือนเมื่อวาน
แล้วเขาก็ใส่เสื้อผ้าตัวเดิม เสื้อแขนยาวสีขาว
กางเกงขายาวสีขาว น่าแปลกจัง
"หวัดดี เจอกันอีกแล้วนะ" ฉันเข้าไปทัก
เขาพยักหน้า แล้วพูดว่า "ดีใจที่ได้เจอเธอ"
แล้วสายตาของเขาก็เหม่อมองออกไป
ฉันจึงไม่ได้พูดอะไรต่อ จนกระทั้งรถเมล์มา
ฉันจึงเดินขึ้นรถเมล์
"ตั้งใจเรียนนะ" เขาตะโกนบอกฉัน
ฉันโบกมือลาเขา
มีคนในรถเมล์ถามว่าโบกมือให้ใครไม่เห็นมีใครเลย
ฉันเลิกคิ้วอย่างงุนงง
ไม่มีใครงั้นเหรอ เขาก็นั่งอยู่ตรงนั้นนี่นา
7.00 a.m (วันนี้อากาศหนาวแปลก เย็นยะเยือก) 21 มกราคม 2558
ฉันมารอรถเมล์เหมือนเคย
แล้วก็เจอเขาทุกวัน
เขานั่งที่เดิมและอยู่ในชุดเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลย
"นายไม่ไปไหนเหรอ" ฉันเข้าไปถาม
เขาส่ายหน้าพลางยิ้มให้
"ทำไมล่ะ รอใครหรือเปล่า" ฉันถามด้วยความสงสัย
"ไม่ได้รอ เพราะเจอแล้ว" เขาตอบกลับมา
รถเมล์มาพอดี ฉันรีบขึ้นรถ แต่สายตายังคงมองไปที่เขา
เขาไม่ได้ไปไหน ยังนั่งอยู่ที่เดิม
7.00 a.m. (วันนี้ดอกไม้บานสวยเชียว) 1 กุมภาพันธ์ 2558
ฉันเจอเขาเหมือนทุกวัน
"ไม่ไปเรียนเหรอ" ฉันถามเขา
"ชอบอยู่ที่นี่" เขาตอบฉันช้าๆ
"ทำไมล่ะ" ฉันถาม
"เพราะเธอมาที่นี่ทุกเช้า" เขาตอบแล้วหยิบดอกไม้ให้ฉัน
"ชอบฉันเหรอ" ฉันถามเขา
"รัก" เขาตอบสั้นๆ ฉันอึ้งไปสักพัก
รถเมล์มาพอดีฉันรีบวิ่งขึ้นรถ
แต่คำว่ารักจากปากเขาคนนั้นยังคนวนเวียนอยู่ในหัว
คำๆนั้นจากปากเขาดูจริงจังและมั่นคง
แต่ขณะเดียวกันมันก็ฟังดูเศร้าเหลือเกิน
ทำไมนะ
7.00 a.m. (ลมพัดแรงจัง) 9 กุมภาพันธ์ 2558
จากวันนั้นฉันเฝ้าถามเขาทุกวันว่าทำไมเขาถึงรักฉัน
เขาตอบว่าไม่มีเหตุผลทุกๆครั้ง พอฉันเซ้าซี้ถามมากๆ
เขาก็ชอบตอบว่าเรื่องบางเรื่องก็มีเหตุผลในตัวของมันเอง
ไม่สามารถเอ่ยเป็นถ้อยคำได้
แล้วรถเมล์ก็มา
คำถามในหัวของฉันก็ยังหาคำตอบไม่ได้อยู่ตามเดิม
7.00 a.m. (ฝนตกหนัก) 14 กุมภาพันธ์ 2558
วันนี้เขาคนนั้นยืนอยู่ในชุดสีขาวเหมือนเดิม
แต่ในมือถือดอกกุหลาบสีขาวช่อใหญ่ แล้วยื่นมาให้ฉัน
"ขอบคุณนะ" ฉันรู้สึกแย่จังที่ไม่มีอะไรให้เขาในวันวาเลนไทน์เลย
"ฉันรักเธอ" เขาพูดคำๆนั้นกับฉัน ใจของฉันสั่นหวั่นไหวไปหมด
"แบมือสิ" เขาบอกฉัน ฉันแบมือให้เขา
เขาวางสร้อยรูปดอกกุหลาบลงบนมือฉัน สร้อยนั้นเป็นสีขาว
"ฉันรู้ว่าเธอชอบสีขาว ส่วนฉันชอบดอกกุหลาบ
ฉันจึงเอากุหลาบขาวให้เธอ กุหลาบขาวหมายถึงรักนิรันดร์"
ฉันหน้าแดงไปหมดกับคำพุดของเขา
รถเมล์มาพอดี
ฉันกำลังจะเดินขึ้นรถเมล์ไป
เขาดึงมือฉันไว้แล้วหอมแก้ม
"ตั้งใจเรียนนะ" เขาพูดกับฉันแล้วผลักขึ้นรถเมล์ไป
"เดี๋ยว" ฉันตะโกนเรียกเขา รถเมล์เริ่มออก
ฉันอยากรู้จักเขาให้มากว่านี้ ฉันรู้สึกชอบเขา
เขาโบกมือลาฉัน
"ลาก่อน"
เสียงนี้ก้องเข้ามาให้หัวฉันโดยที่เขาไม่ได้พูด
"อย่าไปนะ"
ฉันตะโกนเรียกเขา
เขาลุกจากที่นั่งที่เขาเคยนั่งเสมอ
เขาเดินออกไปจากป้ายรถเมล์ แล้วหายลับตาไป
น้ำตาฉันไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
ตอนนี้ฉันรู้สึกหว้าเหว่เหลือเกิน
7.00 a.m. (ท้องฟ้าหม่นหมอง) 15 กุมภาพันธ์ 2558
ฉันมาที่ป้ายรถเมล์ แต่ไม่เจอเขา
เขาไม่ได้นั่งอยู่ตรงนั้นอีกแล้ว
ไม่มีผู้ชายชุดขาวที่คอยมายิ้มให้ฉันทุกเช้า
ไม่มีผู้ชายชุดขาวที่ยื่นกุหลาบแล้วบอกว่ารักฉันเหมือนวันนั้น
ไม่มีอีกแล้ว
ฉันนั่งรออยู่ตรงนั้นจนรถเมล์มา แต่ฉันไม่ขึ้น
ฉันจะนั่งรอเขา
บางที วันนี้เขาอ่านตื่นสาย
แต่ฉันรอจนเวลาล่วงเลยไปจนค่ำ ก็ไม่มีวี่แววของเขาเลย
มีเพียงเสียงลมพัดผ่านไปมาอย่างน่าหดหู่
7.00 a.m 23 กุมภาพันธ์ 2558
ผ่านมา 1 อาทิตย์แล้ว
ฉันไม่ได้เจอเขาเลย หรือว่าเขาจะไปจากฉันแล้วจริงๆ
7.00 a.m. 15 มีนาคม 2558
แล้วเวลาก็ผ่านไปอีกหนึ่งเดือน
ไร้วี่แววเขาเหมือนเดิม
7.00 a.m. 14 กุมภาพันธ์ 2559
เวลาเวียนกลับมาที่วันวาเลนไทน์อีกครั้ง
วันที่เขาจากฉันไป
ฉันคิดว่าวันนี้อาจมีโอกาสได้เจอเขา
แต่ไร้วี่แววเหมือนเดิม
ฉันเริ่มสิ้นหวัง และเดินกลับบ้านด้วยจิตใจที่หมองเศร้า
การรอคอยของฉันมีเพียงความว่างเปล่า
ทำไมเขาถึงใจร้ายปล่อยให้ฉันรอเขานานขนาดนี้
แล้วจะมีใครโง่แบบฉันอีกมั้ยนะ
ที่เฝ้ารอแต่คนที่ไม่มีวันจะกลับมาหา
ฉันกลับมาที่บ้านนั่งเงียบๆอยู่ในห้องนอนของตัวเอง
สายตาของฉันมองไปเห็นสร้อยคอกุหลาบสีขาวที่ห้อยอยู่ข้างๆกับช่อกุหลาบสีขาวที่เหี่ยวไปหมด
ฉันเดินไปหยิบมันขึ้นมา
"เอ๊ะ...นี่มันกุญแจนี่"
ฉันลองนำมันไปไขกล่องสีขาวใบหนึ่ง ซึ่งมันเคยถูกล๊อคมาตลอด
เพราะฉันจำไม่ได้ว่าฉันทำกุญแจไขกล่องนี้หายไปไหน
กริ๊ก...
ฝากล่องเด้งออกมา
ภายในกล่องมีภาพถ่ายคู่ของฉันกับผู้ชายคนนั้น
ผู้ชายที่ป้ายรถเมลล์
เอ๊ะ...นี่เราเคยรู้จักกันด้วยเหรอ
ฉันพลิกดูด้านหลังของรูปภาพ
รักมีนนะจาก บอล
ข้อความจากลายมือโย้เย้ของผู้ชายคนหนึ่ง
ภาพในอดีตเริ่มวนเวียนเข้ามาในหัวฉัน
ฉันเคยหัวเราะกับเขา
เคยไปเที่ยวด้วยกัน
เราสองคนเคยรักกัน
แต่ทำไม
ฉันกลับจำมันไม่ได้เลย
ฉันหลับตาและร้องไห้
จนความรู้สึกฉันเริ่มดับวูบไป
7.00 a.m 14 ธันวาคม 2557
ชายคนหนึ่งยืนอยู่ที่ป้ายรถเมล์มือถือช่อดอกไม้ช่อใหญ่
มีการ์ดเขียนไว้ว่า
สุขสันต์วันเกิดมีน
อีกฟากหนึ่งของถนน
ผู้หญิงคนหนึ่งใส่ชุดซีฟองสีขาว
เธอกำลังเดินข้ามถนนสายใหญ่เพื่อไปหาผู้ชายที่อยู่อีกฟากหนึ่ง
โครม!!!
ร่างของผู้หญิงคนนั้นถูกกระแทกอย่างรุนแรงด้วยรถที่วิ่งมาด้วยความเร็วสูง
ร่างบางกระเด็นออกไปหล่นลงกับพื้น
เลือดไหลนองออกมาเป็นสาย
ชายที่ยืนอยู่ที่ป้ายรถเมล์สะดุ้งจากอาการเหม่อลอย เมื่อได้ยินเสียงรถชน
เขามองไปยังเหตุการณ์อีกตรงฝั่งถนน
ผู้หญิงชุดขาวนอนอยู่บนพื้นที่มีเลือดไหลนอง
มีรถพยาบาลเต็มไปหมด
เขาภาวนาให้ผู้หญิงคนนั้นรอด
แล้วเขาก็ปัดไล่ภาพอันน่ากลัวนั้นออกจากใจ
ผ่านมา 3 ชั่วโมง
มีน คนรักของเขายังคงไม่มา
ฝนเริ่มตกหนัก
เขายืนรอจนกระทั่งฟ้าเริ่มมืดแต่เขาก็ไม่ได้ขยับไปไหน
ในที่สุดฝนก็หยุดตก
แต่ร่างของชายคนนั้นกลับส่ายโซเซแล้วล้มลง
ลมหายใจของเขาเริ่มแผ่วลงเรื่อยๆ
และแล้วหัวใจของเขาก็หยุดทำงานอันแสนหนักของมันในที่สุด
ช่อดอกกุหลาบสีขาวหลุดจากมือ
การ์ดโดนลมซัดกางออก
.....สุขสันต์วันเกิดนะมีน....เราคงอยู่ได้ไม่นาน เพราะเราเป็นโรคหัวใจ ขอโทษด้วยนะที่เราไม่เคยบอกมีน เราไม่อยากให้มีนเป็นห่วง วันนี้อาจเป็นวันสุดท้ายของชีวิตเราแล้ว เราอยากเห็นมีนมีความสุข และเข้มแข็งเวลาที่เราจากไป อย่าร้องไห้นะมีน ถึงไม่มีเราแล้วกุหลาบช่อนี้กับสร้อยของเราจะเป็นตัวแทนแสดงถึงรักนิรันดร์ของเรา กุหลาบดอกไม้ที่เราชอบ กับสีขาวสีที่มีนชอบ
........รักมีนเสมอ....บอล...
ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากความฝันน้ำตาเริ่มไหลริน.....
ฉันรีบวิ่งไปที่ป้ายรถเมล์ มือรีบขุดหาการ์ดที่ถูกดินกลบไว้
แล้วฉันก็เจอมัน
การ์ดที่ชายคนนั้นเขียนให้ฉัน
ชายที่ป้ายรถเมล์
หรือบอลคนรักที่ถูกฉันลืม
ฉันวิ่งกลับมาบ้าน
หยิบช่อดอกกุหลาบสีขาวกลับสร้อยออกมา แล้ววิ่งไปหาแม่
"มีน" แม่วิ่งเข้ามากอดฉันเมื่อเห็นฉันวิ่งร้องไห้มา
"แม่ มีนจำได้แล้ว มีนจำทุกอย่างได้แล้วแม่
มีนจำบอลได้ มีนโดนรถชนมีนความจำเสื่อม แต่บอลล่ะแม่ตอนนี้บอลอยู่ไหน"
ฉันถามแม่ไปทั้งๆที่รู้ว่าเขาตายไปแล้ว
"วันที่ลูกโดนรถชน เป็นวันสุดท้ายที่เขาจะมีชีวิต บอลเป็นโรคหัวใจ"
น้ำตาฉันไหลไม่หยุด
บอลคนรักของฉัน
เขาเสียชีวิตเพราะรอคอยฉัน
แต่ฉันกลับลืมเขาเพราะถูกรถชน
ทำไม...
ฉันต้องถูกรถชนจนความจำเสื่อม
ทำไม....
ฉันถึงปล่อยให้เขารอ
ฉันร้องไห้จนแทบหมดแรง
แล้วชายคนนั้นที่ป้ายรถเมลล์เขาคือบอลไม่ใช่เหรอ....
หรือว่า
เขายังคงมารอกฉัน
แม้ร่างกายบอลจะจากไป
วิญญาณของเขายังคงมารอฉัน
ฉันเข้าใจแล้วทำไมคนในรถเมล์ถึงไม่เห็นเขา
ฉันเข้าใจแล้วทำไม เขาถึงบอกว่ารักฉันอย่างไม่มีเหตุผล....
ฉันเข้าใจทุกอย่างหมดแล้ว.....
เขารอฉัน แม้ฉันจะจำเขาไม่ได้
หรือแม้แต่เขาไม่มีชีวิตอยู่แล้ว
.....เขายังห่วงฉันอยู่...
แต่เขาก็ต้องไป ตามเส้นทางวิญญาณของเขา.....
...บอล....ฉันขอโทษ
7.00 a.m. 14 กุมภาพันธ์ 2610
ที่ป้ายรถเมล์หญิงชราคนหนึ่งนั่งเหม่อมองออกไปอีกฟากของถนน
กุหลาบสีขาวข้างป้ายชูดอกอย่างสวยงาม
หลายปีมาแล้วที่เขาคนนั้นจากเธอไป
และก็หลายปีมาแล้วที่เธอได้รับความทรงจำที่มีเขาอยู่ในนั้นกลับคืน
แต่เธอก็ยังคงมาที่นี่ทุกวัน
แม้จะรู้ว่าไม่ได้เจอเขา
เธอก็ยังคงมารอเขาที่นี่เสมอ
ฝนเริ่มตกพรำ
หญิงแก่คนนั้นถอนหายใจช้าๆก่อนเอาหัวพิงกำแพงแล้วหลับตา
ลมหายใจเข้าออกเริ่มแผ่ว ความถี่เริ่มช้าลง ตามวิญญาณที่ใกล้จะออกจากร่างไป
จนกระทั่งฝนหยุดตก ลมหายใจของหญิงชราก็หยุดลง
หญิงชราได้ไปอยู่กับคนรักของหล่อนแล้ว คนรักที่รอคอยมาเนิ่นนาน
....ยังคงคิดถึง ยามที่ฝนโปรยเราอยู่ด้วยกันตรงนี้ ฉันเหงาเธอรู้มั้ย ฉันหนาวจนแทบขาดใจไม่มีอ้อมกอดจากคนที่รุ้ใจ รอคอยเธอกลับมาหา เฝ้ารอจนฝนซา สุดท้ายก็ว่างเปล่า...
เสียดาย คนตายไม่ได้เล่า : ตอนที่ 8 เพื่อนข้างห้อง
มาอัพดึกไปสักหน่อย....
ไม่รู้ว่านอนกันไปแล้วหรือยังนะคะ....
วันนี้จะมาเล่าเรื่อง...เพื่อนข้างห้อง...
เรื่องมันเกิดจาก....
อพาร์ทเม้นที่หลิวไปพักอยู่ค่ะ...
เคยคิดมั้ยคะว่า...ถ้าอยู่ดีดี
วันหนึ่งคนที่พักอพาร์ทเม้นเดียวกับเราเสียชีวิตขึ้นมา มันจะเป็นยังไง...
หลิวเคยอยู่ที่หนึ่งค่ะ....
คนเสียชีวิตอยู่ห้องข้างบน...
หลิวอยู่ชั้น 2 ส่วนห้องที่เกิดเหตุอยู่ชั้น 3
หลิวอยู่คนเดียว ห้องไม่ได้ราคาแพงมาก เดินทางสะดวก
ทุกวันก็อยู่ตามปกติ ปัญหาที่เจอบ่อยๆคือ ห้องข้างบนชอบทะเลาะกันค่ะ
เป็นแฟนอยู่ด้วยกัน แต่เราไม่คิดอะไร...
ระหว่างอยู่ ก็จะมีเพื่อนแวะมาหาบ้าง..
เวลาที่เพื่อนขี้เกียจกลับห้องตัวเองเพราะไกล..
ก็จะมานอนหันที่นี่แหละค่ะ
แล้ววันหนึ่งก็เกิดเรื่องใหญ่ค่ะ
คืนนั้น ห้องข้างบนทะเลาะกันทั้งคืนค่ะ...
ถามว่าเสียงดังมั้ย อาจจะดัง...
แต่ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง
เลยไม่มีใครอยากเข้าไปยุ่ง...
จนกระทั่งเสียงมันดังมาก ของหล่นแตก..
และเสียงผู้หญิงกรี้ด...
จากนั้นทุกอย่างก็สงบ...
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ฝ่ายหญิงโดนฝ่ายชายทุบจนเสียชีวิตค่ะ
หลังจากนั้นทุกอย่างก็วุ่นวายมาก...
ทั้งเจ้าของ ทั้งตำรวจ...
ฝ่ายชายยอมมอบตัว.....
และทุกอย่างก็จบค่ะ....
เดือนนั้นมีคนย้ายออกเยอะมาก...
ชั้นสามนี่ย้ายออกแทบทั้งชั้น
ในขณะที่ชั้นหลิว และชั้นอื่นย้ายออกกว่าครึ่ง...
และหลิวเป็นคนที่อยู่ต่อค่ะ
นึกภาพตาม...ห้องคนตายจะอยู่ข้างบน...
และหลิวจะมีโต๊ะทำงานอยู่ตั้งอยู่ตรงหน้าต่างพอดี ระเบียงจะอยู่ตรงกับห้องคนตายเลยค่ะ...
วันหนึ่งนั่งทำงานอยู่ดีดี...
มีเสียงผู้หญิง ร้องเพลง แล้วมารดน้ำระเบียงตอนเกือบเที่ยงคืน!!!
ไม่ต้องทายให้ยากว่าเป็นใคร....
จากนั้นมาหลิวเอาม่านมาติดตรงหน้าต่าง และไม่เคยเปิดม่านนั้นอีกเลยค่ะ.....
คนอื่นๆ เจอมั้ย ไม่รู้ค่ะ
แต่หลิวย้ายมั้ย ยังค่ะ....
จัดว่าหน้าด้าน คิดว่าอยู่ใครอยู่มัน ไม่ยุ่งเกี่ยวค่ะ
(อีกอย่างค่าห้องลดราคาอีกไปตั้งพันนึง เลยอยู่ ตั้งใจว่าไม่ยุ่งเกี่ยวต่อกันค่ะ)
สิ่งที่เจอบ่อยๆ เสียงร้องเท้าส้นสูงค่ะ
คนเดิน ทั้งคืนเลย บ่อยมาก....
แต่บางคืนก็ไม่เดิน...
(ช่วงนั้นเริ่มวางแผนย้ายออกแล้วค่ะ คิดว่าไม่ไหว)
จะให้ไปสู้รบตบมือกับเค้าก็ลำบาก....
ที่นั่นเคยเชิญพระมาหลังจากเค้าเสียชีวิตใหม่ๆ ค่ะ
แต่เค้ายังอยู่ ไม่ได้ไปไหน
ส่วนหลิวเองก็ไม่เคยไปยุ่งกับชั้น 3
หลิวจะไม่เอาตัวไปยุ่งกับที่ที่มีวิญญาณอยู่
เพราะหลิวไม่อยากเจอค่ะ
แต่ถ้าถามว่า มีแล้วอยู่คนละที่ ไม่ยุ่งกัน
อยู่ได้มั้ย พอไหวค่ะ
(แต่อยู่ห้องเดียวกันแบบนั้นก็ไม่เอาเหมือนกันค่ะ)
จริงๆแล้ว อยู่ที่นั่นต่อีกน่าจะประมาณสองเดือน หลังจากผู้หญิงห้องข้างบนเสีย...
สิ่งที่เจอบ่อยๆ คือเสียงร้องเท้าส้นสูงที่เดินทั้งคืน นอกนั้นไม่มีอะไร
ถามว่าหลอนมั้ย ก็หลอนสิคะ คนเดินนั่นไม่ใช่คน...
จนวันหนึ่ง เพื่อนมานอนเป็นเพื่อน
นางไม่รู้เรื่องอะไรที่เกิดขึ้นเลย เพราะหลิวไม่เล่าใครค่ะ
ไม่อยากบอก...เดี๋ยวเพื่อนไม่กล้ามา
วันที่นางมา...
นางก็ได้ยินเสียงคนเดินเหมือนกันค่ะ
สิ่งที่นางทำคือบ่นค่ะ "เดินทั้งวัน ไม่รู้จักเกรงใจคนอื่นบ้างเลย"
ไอ่เราก็ไม่กล้าบอกเพื่อนค่ะ ได้แต่ขอโทษผู้หญิงข้างบนอยู่ในใจ
โชคดีเพื่อนไม่เจออะไรค่ะ
หลังจากนั้นไม่นานหลิวก็ย้ายออก...
จริงๆ แล้วก็ไม่มีอะไรค่ะ...
และวิญญาณนั้นก็ไม่ได้ทำร้ายใคร...
หลิวว่าเค้าคงยังไม่ได้ไปเกิดมากกว่า...
เค้าคงใช้ชีวิตของเค้าเหมือนตอนมีชีวิต..
แต่แน่ล่ะว่า เป็นใครใครก็ต้องกลัวค่ะ...
หลิวคิดว่า บางทีวิญญาณก็ไม่ได้อยากทำร้ายใครหรอกค่ะ
เค้าก็แค่อยู่ในที่ของเค้า เพราะยังไปไหนไม่ได้แค่นั้นเอง
แต่คนเป็น กับคนตายไม่เหมือนกัน..
หลิวยังกลัวเลย สุดท้ายหลิวก็ต้องย้ายออกเหมือนกัน....
แต่ไม่โทษเค้าหรอกค่ะ เค้าไม่ได้ทำอะไรให้เรา...
ความกลัว...เรากลัวเพราะเค้าไม่เหมือนเรา
กลัวเพราะรู้ว่าเค้าเสียชีวิตยังไง
กลัวเพราะเราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเค้าเลย....
บางครั้งหลิวว่าวิญญาณไม่ได้อยากทำให้เรากลัว...
แต่เราห้ามความรู้สึกไม่ได้แค่นั้นเอง...
หลิวไม่ใช่คนไม่กลัวผี...หลิวก็กลัว...
แต่มันอาจจะมีระดับที่พอจะทำความเข้าใจได้...มากกว่าคนอื่นนิดหน่อย..
แต่สุดท้าย...เลี่ยงได้ก็เลี่ยงเหมือนกันค่ะ
อีก 2 ตอนจะจบแล้วนะคะ...
พอจบแล้วก็จะมีชีรี่ย์ใหม่ให้ติดตาม....
ตอนน่าจะเป็นเรื่องอะไร รอติดตามกันนะคะ
ฝากติดตามผลงาน E-book นิยายรักโรแมนติค
อ่านตัวอย่างที่นี่เลยค่ะ >>> คลิก
มายาปกรณัม : หัวใจรักฉบับเจ้าชายพระอาทิตย์
ไม่มีอะไรมากเลยค่ะ
มาโฆษณา อีบุ๊ค เฉยๆ...
เป็นนิยายที่เคยเขียนชื่อเรื่องว่า มายาปกรณัม
พอดีลิขสิทธิ์หมดแล้ว เลยเอามาอักขายใน Ook Bee
***ปกนิยายไม่สวยเลย มันอัพใหม่ไม่ได้แล้ว เลยต้องเลยตามเลยค่ะ
บทนำ
แสงจากดวงอาทิตย์สาดส่องสว่างเป็นสีทองตัดผ่านกลุ่มปุยเมฆขาว
ลำแสงส่องลงมาให้เห็นปราสาทสีเงินยวง
ที่ลอยอยู่ท่ามกลางกลุ่มก้อนเมฆเปรียบเสมือน
ดินแดนแห่งเทพนิยายที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใต้ม่านหมอก
บุรุษรูปงามผู้สวมรองเท้ามีปีกบินตัดผ่านก้อนเมฆ
ตรงเข้าไปยังซุ้มโค้งสีทองที่ตั้งอยู่ตรงหน้าเหมือนกับ
ประตูที่ทอดเข้าสู่ดินแดนแห่งสรวงสวรรค์
ซึ่งถูกประดับตกแต่งไปด้วยบุปผาชาตินานาพรรณ
ที่สายตามนุษย์มิอาจรับรู้ถึงความงามของมันได้
เหล่ามนุษย์ต่างเรียกขานสถานที่แห่งนี้ว่า เทือกเขาโอลิมปัส
“เราจะปิดประตูมิติระหว่างโลกมนุษย์กับเทพเจ้า”
เสียงมหาราชาแห่งเทือกเขาโอลิมปัสประกาศก้อง
ดังไปทั่วแท่นประชุมที่ล้อมรอบไปด้วยเทพเจ้าทั้งหลาย
เฮอร์มีสที่เพิ่งบินมาถึงร่อนลงพร้อมกับเดินไปนั่งอยู่ตรงกลาง
ระหว่างอพอลโล่กับอะโฟร์ไดต์แล้วจึงมองไปรอบๆ
แท่นประชุมที่มีลักษณะเป็นรูปครึ่งวงกลม
ซุสและเฮรา ราชาและราชินีแห่งเหล่าทวยเทพนั่งอยู่ทางด้านหน้า
บนเก้าอี้หินซึ่งตั้งอยู่บนแท่นหินอ่อนยกสูง
ส่วนเทพที่เหลือนั่งอยู่บนเก้าอี้หินล้อมรอบซุสและเฮราเป็นรูปวงรี
อพอลโล่เทพหนุ่มรูปงามที่มีผมสีทองกับนัยต์ตาสีฟ้า
เหมือนน้ำทะเลหันมายิ้มให้เขาทีหนึ่งก่อนหันกลับไปมองยังซุสอีกครั้ง
ราชาแห่งทวยเทพผู้มีรูปร่างเป็นสง่า
ทอดสายตาที่ทั้งน่าเกรงขามและอบอุ่น
ไปทั่วห้องประชุมก่อนที่จะมาหยุดตรงเฮอร์มีสที่เพิ่งมาถึง
“เจ้าไปตามเฮเดสมาแล้วใช่หรือไม่”
ซุสหันมาถามด้วยแววตาอ่อนโยนแต่แฝงไปด้วยอำนาจ
เทพผู้ส่งสารสะดุ้งเล็กน้อยด้วยความประหม่า
ก่อนจะตอบคำถามให้แก่ราชันย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งโอลิมปัส
“ท่านเฮเดสทราบแล้ว และคงมาถึงในไม่ช้า”
สิ้นคำพูดของผู้ส่งสารหนุ่ม
เฮรา ราชินีแห่งเหล่าทวยเทพส่งยิ้มเป็นกำลังใจมาให้
แทนคำขอบคุณที่เขาสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้เป็นอย่างดี
เทพผู้ส่งสารสะดุ้งอีกครั้งด้วยความประหม่า
เมื่อเห็นรอยยิ้มที่อบอุ่นแต่ก็แฝงไว้ซึ่งอำนาจเช่นเดียวกับซุส
ราชันย์แห่งโอลิมปัสและผู้เป็นยอดรักของเฮรา
เฮอร์มีสเป็นเพียงเทพธรรมดาที่มักหวาดกลัวผู้มีอำนาจอยู่เหนือกว่าเสมอ
เขาไม่รู้ว่าผู้ยิ่งใหญ่กว่าจะไม่พอใจและสั่งลงโทษเขาเมื่อไหร่
ถึงแม้ซุสและเฮราจะเป็นราชาและราชินีที่โอบอ้อมอารีก็จริง
แต่เวลาโมโหพวกเขาทั้งสองก็น่ากลัวยิ่งกว่าสิ่งใดโลก
อะโฟร์ไดต์เทพีแห่งความงามหัวเราะคิก
ให้กับท่าทางอันตื่นตระหนกของเขา
พร้อมกับส่งรอยยิ้มหวานหยาดเยิ้มมาให้
จนเฮอร์มีสแทบจะหลงใหล
ถ้าหากไม่ทันไปสะดุดซะก่อนว่าดวงตาอันงดงามของเทพีสาว
ไม่ได้จ้องมองมาที่ตนเลย
แต่กลับจ้องมองไปยังเทพหนุ่มที่ได้ชื่อว่างดงามที่สุดในโอลิมปัส
“อพอลโล่”
เฮอร์มีสแอบสบถเบาๆขึ้นมาด้วยความผิดหวังเงียบๆ
ก่อนที่จะสะดุ้งขึ้นมาอีกครั้งด้วยเสียงดัง ปัง!
ที่ดังขึ้นมาพร้อมกับหมอกควันสีดำที่โผล่ขึ้นมากลางวงประชุม
โดยที่เทพทุกองค์ไม่ทันตั้งตัว
“ขอโทษ ที่เรามาช้า”
เสียงยานคางแต่แฝงไว้ด้วยความแข็งกร้าวดังขึ้น
พร้อมกับร่างสูงใหญ่ของเทพแห่งโลกันต์
ดวงตาดำสนิทเหมือนนิลจ้องมองไปรอบที่ประชุม
พร้อมส่งรอยยิ้มชั่วร้ายจากริมฝีปากสีแดงสด
ที่เหมือนกับแอปเปิ้ลอาบยาพิษของแม่มด
ที่ยื่นให้หมายจะคร่าชีวิตสโนไวท์เจ้าหญิงผู้น่าสงสาร
คิ้วสีดำสนิทเช่นเดียวกับสีผมยกขึ้นพร้อมกับดวงตาดำมืด
ที่จ้องมองไปยังเทพหนุ่มรูปงาม
ผู้มีความสามารถในการบรรเลงดนตรีได้ไพเราะที่สุดในโอลิมปัส
เหมือนกำลังอ่านความคิดของเขาออก
“แต่ถึงมาช้า ก็ใช่ว่าเราจะไม่รู้อะไรเลย
ซุสกำลังต้องการจะปิดประตูมิติระหว่างโลกมนุษย์และเทพเจ้า”
เฮเดสพูดขึ้นมาพร้อมกับสบสายตาอพอลโล่
ฃที่ทำท่าจะตำหนิติเตียนเขาไว้โดยไม่กระพริบ
เหตุใด คนอย่างเฮเดสจะไม่ล่วงรู้ความคิดของซุส
และเหตุใดคนอย่างเฮเดสจะไม่รู้ว่า
อพอลโล่กำลังจะตำหนิเขาเรื่องที่เขามาช้ากว่าเทพองค์อื่น
“นั่งลงเถอะเฮเดส และเลิกจ้องหลานข้าอย่างนั้นสักที”
โพไซดอน ราชาแห่งท้องทะเลผายมือไปยังเก้าอี้หินข้างๆเขาที่ยังคงว่างอยู่
พร้อมกับปรามเฮเดสที่จ้องมองอพอลโล่ด้วยสายตาประทุษร้ายที่ซ่อนไว้ไม่มิด
เทพทุกองค์ต่างรู้ว่าเฮเดสและอพอลโล่ไม่ได้เป็นมิตรต่อกันเท่าไหร่นัก
หากจะว่าไปตามความจริง
เฮเดสต่างหากที่ไม่เคยเป็นมิตรกับใครเลย
สายตาดำสนิทที่ไร้ความรู้สึกเป็นเหมือนประตูที่ปิดกั้น
และบอกว่าเขาไม่มีความไว้เนื้อเชื่อใจใครทั้งสิ้นนอกจากตัวเขาเองเท่านั้น
เฮเดสยิ้มเยาะให้เจ้าแห่งท้องทะเลก่อนจะค่อย ๆ
เดินอย่างเชื่องช้าเหมือนคนแก่งุ่มง่ามไปนั่งลงข้าง ๆ โพไซดอน
เพื่อมีจุดประสงค์จะล้อเลียนว่า
โพไซดอนนั้นมีอายุมากกว่าเขาขนาดไหน
โพไซดอนส่ายหน้าด้วยความไม่พอใจ
แต่ก็ไม่อยากจะถือสาอะไรกับเทพผู้ไม่เจียมตัวและโอหังอย่างเฮเดส
“อาร์เทมิส ยังไม่กลับจากตำหนักดวงจันทร์อีกเหรอ
ที่เรามานี่เพราะหวังว่าจะได้พบนางผู้งามดั่งดวงจันทรา
แต่เราคงต้องผิดหวังสินะ” ไม่ทันที่เทพองค์อื่นจะทันได้หายใจอย่างทั่วท้อง
เฮเดสก็หาเรื่องอพอลโล่ขึ้นมาอีก
สายตายียวนอย่างจงใจจะยั่วโทสะเทพหนุ่ม
จ้องมองไปยังเก้าอี้ที่ว่างเปล่าข้างกายอพอลโล่
พร้อมกับทำสีหน้าเสียดายอย่างสุดซึ้ง
อพอลโล่มองหน้าเฮเดสด้วยความไม่พอใจ
แม้เขาจะรู้ว่าเฮเดสตั้งใจจะยั่วอารมณ์
ทำลายความอดทนของเขาเพื่อความสนุกสนานของตัวเอง
ที่เห็นคนอื่นมีโทสะ แต่อพอลโล่ก็ไม่อาจระงับความไม่พอใจของตนไว้ได้
ใครๆก็รู้ว่าเขานั้นรักและหวง อาร์เทมิส
น้องสาวที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของเขาแค่ไหน
“ไม่ใช่กงการอะไรของท่านที่จะต้องมาถามเรื่องราวของน้องสาวข้า เฮเดส”
อพอลโล่ตอบกลับเสียงแข็งด้วยความขุ่นเคือง
ที่เฮเดสเอาเรื่องน้องสาวเขามาล้อเล่นเพื่อยั่วโทสะตน
และสร้างความสนุกสนานให้ตัวเองรวมทั้งโมโหตัวเอง
ที่ยอมตกหลุมพรางของเฮเดสอย่างง่ายดายทั้ง ๆ
ที่รู้อยู่แล้วว่าเทพแห่งนรกทำแบบนี้เพื่อกวนอารมณ์เขา
“อาร์เทมิสเป็นหญิงงาม และนานๆที
ข้าถึงจะได้ถูกเชิญขึ้นมาบนวิมานแห่งนี้
การอยู่ใต้ผืนพิภพท่ามกลางความมืด
และเหล่าสัตว์นรกที่ร้องโหยหวนเป็นสิ่งที่น่าหดหู่
น่าเสียดายจริงที่ไม่ได้เจอน้องสาวของเจ้า
เทพีผู้เป็นดั่งแสงสว่างที่โอบอ้อมค่ำคืนที่มืดสนิทด้วยความอบอุ่น
หากได้มาอยู่เคียงข้างสักคืนคงจะดีไม่น้อย”
เทพทุกองค์สะดุ้งเฮือกกับคำพูดที่ลามปามเกินไปของเฮเดส
แม้แต่ซุสยังต้องส่งสายตาตำหนิมาที่เขา
เฮราส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย
ส่วนเฮอร์มีสที่นั่งอยู่ข้างๆอพอลโล่ได้แต่ทำตัวสั่นงกๆ
เพราะไม่รู้ว่าอพอลโล่กับเฮเดสจะฟาดฟันกันเมื่อไหร่
เขาไม่ชอบการต่อสู้และการใช้กำลัง
แต่เฮเดสไม่ได้สนใจสายตาของใครๆ
เขายังคงพูดพร้อมกับหัวเราะ
เขารู้อยู่เต็มอกว่าอพอลโล่ขุ่นเคืองแค่ไหน
ที่ต้องยอมตกหลุมพรางของเขาเพื่อปกป้องน้องสาวของตัวเอง
และรู้สึกภาคภูมิใจที่สามารถทำให้เทพอย่างอพอลโล่รู้สึกหงุดหงิดได้
เพราะไม่ง่ายเลยที่จะทำให้เทพที่เก่งกาจ
อย่างอพอลโล่จะขุ่นเคืองได้ถึงเพียงนี้
ในบรรดาเทพทั้งหมด ถ้าไม่นับซุสและโพไซดอนซึ่งเป็นพี่น้อง
ที่พอจะสามารถประชันฝีมือกับเขา
ก็มีเพียงอพอลโล่อีกคนที่เฮเดสอยากลองประชันด้วยสักครั้ง
หลานชายผู้มีอำนาจเหนือบรรดาเหล่าเทพทั่วไป
สายตาของอพอลโล่ลุกเป็นไฟ
เมื่อสิ้นประโยคของเฮเดส
เทพแห่งความชั่วร้ายผู้นี้ใช้วาจาล่วงเกินเขาและน้องสาวมากเกิน
จนเขาไม่สามารถระงับโทสะที่ตนมีได้อีก
อพอลโล่ชักคันธนูที่เคลือบด้วยสีทองเงาวับขึ้นมา
พร้อมกับหยิบศรแล้วเล็งหัวลูกศรสว่างวับไปที่หัวใจของเฮเดส
เฮเดสแสยะยิ้ม จ้องมองหัวลูกศรสีทองที่เล็งมายังหัวใจเขาอย่างไม่เกรงกลัว
“โธ่...ใจเย็นๆสิพ่อหนุ่มน้อยเลือดร้อน”
ดวงตาสีดำเบิกโตพร้อมกับริมฝีปากที่เผยอขึ้นน้อยๆ
ที่ใครก็ดูออกว่าเขาแกล้งทำเป็นหวาดกลัว
++++++
อัพตัวอย่างไว้ให้ 2 ตอน
ถ้าใส่ในนี้หมดจะยาวเกินไป
ถ้าใครอ่านแล้วชอบ
สามารถซื้ออ่านทั้งเล่มเป็น E-book ที่นี่ คลิก
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)