[เทคนิคการเขียน...เหรอ?] กำแพงที่มองไม่เห็น...


Good Morning !!! ทำไมทักแบบนี้...

มันนึกถึงคำนี้ได้แค่นั้นเองค่ะ ฮ่า ฮ่า...ทั้งๆที่ตอนนี้มันเย็นแล้ว...

ห่างหายจากไปนาน (มั้ง)
อาจจะไม่นาน แต่ทำไม่หลิวรู้สึกว่านาน...
อาจจะเพราะ หลิวไม่มีไอเดียจะเขียนอะไรมากกว่า..
ช่วงที่ผ่านมาป่วย หัวเลยตื้อ คิดอะไรไม่ออก
จนอยู่ดีดี ก็เกิด อะไรบางอย่างขึ้นมา
เมื่อเพื่อนคนหนึ่งมาทักว่า " หลิว..เราอยากเขียนหนังสือ"....


...................
นี่คือเรื่องเล่าจากประสบการณ์
จากประสบการณ์ส่วนตัว ไม่กล้าการันตีตัวเองว่า "เขียน" ดีขนาดไหนนะคะ...
เพราะสิ่งเหล่านี้ คนตอบได้ คือผู้อ่าน ไม่ใช่หลิว
ขอเป็นแค่ พวกเขียนได้ก็พอ...
ถามว่าเทคนิคทางการเขียนที่ง่ายที่สุดคืออะไรรู้มั้ย
"เขียน"
มีอยู่แค่นี้แหละ ข้อเดียวในชีวิตหลิว 

สำหรับผู้เริ่มต้น 
ก็แค่เขียน ไม่ต้องไปคิดอะไรมาก อยากเขียนอะไรก็เขียน อยากเล่าอะไรก็เล่า
(แม้แต่การเขียนด่าคนก็ตาม)
แต่สิ่งสำคัญมันอยู่ที่
งานเขียนของเรา มันถูกเผยแพร่ออกมาหรือเปล่า...
ถ้ามันเป็นไดอารี่ เขียนคนเดียว อ่านคนเดียว จะเขียนอะไร จะว่าใคร 
มันก็เป็นสิทธิของเรา ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับใคร
แต่ถ้าเขียน บนพื้นที่สาธารณะ อาจจะต้องเขียนอย่างมี "สติ" นิดนึง
ไม่ต้องห่วงสังคม ไม่ต้องคิดถึงผลกระทบกับคนอื่นหรอก (อาจจะเป็นคำแนะนำที่ไม่ดีเท่าไหร่ กรุณาใช้วิจารณาญาณในการอ่านเน้ออออ)
ถ้าคุณยังแค่เริ่มหัดเขียนนะคะ
หลิวอยากให้นึกถึงตัวเองมากกว่าค่ะ หากเราเขียนอะไรออกไปแบบไม่มีสติ แล้วมันทำร้ายตัวเอง
ทำให้คนอื่นมองเราไม่ดี...คนเสียมันก็มีแค่ตัวเรา...
.................................................
ทีนี้ก็ถึงเวลาเริ่มเขียน...
เวลาที่มีใครสักคนมาขอคำแนะนำจากหลิวว่า
"อยากเขียนหนังสือ ทำยังไงดี"
หลิวมักจะบอกคำเดียวเสมอเลย "ก็เขียนสิ"
แต่น้อยคนมาก ที่สุดท้ายจะทำตามคำแนะนำนี้....
มีเหตุผลมากมาย ที่ทำให้หลายๆ คนยังไม่เริ่มเขียนสักที
........
เหตุผลเหล่านั้น คือ
ฉันยังไม่พร้อม...
ถ้ามีเหตุผลตรงนี้ คำถามที่คุณต้องถามตัวเอง มีดังนี้ค่ะ
"ที่ไม่พร้อม เพราะอะไร"
ไม่พร้อม เพราะไม่ว่าง ... โอเค ถ้าไม่ว่างก็รอว่างก่อนค่อยทำ
ไม่พร้อม เพราะขี้เกียจ... โอเค ถ้าขี้เกียจอยู่ก็รอขยันก่อน
ที่พูดมาไม่ได้ประชดนะคะ แต่พูดเรื่องจริง...
การที่เราจะเขียนอะไรสักอย่าง...เราต้องมีความรู้สึก "อยาก" ก่อน
มันถึงจะได้ผลงานที่ดี และเรามีความสุขไปกับมัน
แต่ถ้าไม่รู้สึก "อยาก" ทำไปแล้วไม่มีความสุข ก็ไม่ต้องไปฝืนมันค่ะ
รอเรา "อยากก่อน"

แต่ถ้า ไม่พร้อม เพราะอะไรก็ตาม ที่มันเป็นแค่ข้ออ้าง...
เพราะจริงๆ แล้ว คุณแค่ "กลัว" และ "ไม่กล้าทำ"
หรือมองว่า คุณยังไม่มีความสามารถมากพอ
กลัวเขียนแล้วไม่ประสบความสำเร็จ
จงหยุดคิดแบบนั้นเดี๋ยวนี้เลยค่ะ

..........................
จริงๆ หลิวก็แปลกใจนะว่า นี่เรามาถึงหยุดที่ "กลัว" ที่จะเขียน
หรือ "ไม่กล้า" ที่จะเขียนด้วยเหรอ 
หรือจุดที่ "การเขียน" มีการประสบความสำเร็จด้วยเหรอ...
...............................
ความรู้สึกของคนที่ได้เขียนอะไรสักอย่าง..ก็คือ 
เราประสบความสำเร็จทุกครั้ง ที่เราเขียนเสร็จ แม้จะมีแค่สามบรรทัด 
หรือแค่ประโยคเดียวก็ตาม 
และความชื่นชอบของผู้อ่านที่มีกับงานเขียนของเรา 
คือ รางวัล และ กำไรจากการประสบความสำเร็จ
แค่นั้นเอง สำหรับหลิว...
คุณต้องกลับไปถามตัวเองว่า
แท้จริงแล้ว คุณอยากเขียน เพราะอยากเขียน...
หรืออยากเขียน...เพราะจุดประสงค์อื่นๆ
.............................
และนั่นคือ "กำแพงที่มองไม่เห็น"
คุณต้องมองมันให้เห็นว่าคุณเขียนมันเพราะอะไร
เพราะถ้าคุณมองไม่เห็น คุณจะไม่รู้เลยว่าอะไรมันกำลังปิดกั้นคุณอยู่
หาให้เจอ ว่ามันคืออะไร แล้วจะได้รู้ว่า เราจะเดินไปทิศทางไหน
.....
ถ้าคุณอยากเขียนเพราะอยากมีเงิน ใช้ชีวิต slow Life 
คุณต้องรู้ว่า คุณจะเขียนยังไง ให้โดนใจผู้คน ให้อยู่ในกระแส ให้ผู้คนสนใจ...
มันต้องเป็นงานแนว content marketing มั้ย How to มั้ย 
ยุคสมัยนี้งานเขียนแนวไหนกำลังฮิต
ซึ่งตรงนี้มีคนสอนคุณมากมายเลยค่ะ สามารถหาได้เยอะแยะในยุคที่กำลังเฟื่องฟูยุคนี้...
แต่หลิวจะบอกว่า..การเขียนที่หลิวมาเล่า จะไม่ใช่ทางนี้นะคะ...
.......
เพราะหลิวโตมากับ การเขียน เพราะอยากเขียน ...
ถ้าอยากรู้ว่าเขียนยังไงให้มีความสุข...เขียนแล้วแฮปปี้...
การเขียนช่วยพัฒนาความคิดความอ่านของเรายังไง...
จนสุดท้าย...เรามี "ตัวตน" ของเราอยู่ในงานเขียนเรายังไง..
อันนั้นจะมาเล่าให้ฟังบ่อยๆ ค่ะ..เพราะหลิวมาสายนี้แหละ
"สายตามใจฉัน"
อยากเขียนเพราะชอบเขียน แต่ต้องเขียนอย่างมีสติ...

......
เอาล่ะค่ะ พูดมานาน..สุดท้าย ถ้าใครคิดว่าสายเดียวกับหลิว..
ก็เริ่มเลย วิธีการแรกและวิธีการเดียว "เขียน"

ถ้าอยากแบ่งปันให้หลิวอ่าน หรือมีคำถามอยากถาม 
"ถ้าไว้ใจในคำแนะนำและคำตอบของหลิว..อิอิ"
ก็ แปะลิ้งบทความไว้ใน comment ข้างล่างได้นะคะ

สุดท้าย...หลิวไม่ใช่นักเขียนที่ดีที่จะเป็นตัวอย่างให้ใครได้..
แต่เป็น "นักเขียนที่เอาแต่เขียน" คนหนึ่ง ที่อยากแบ่งปันประสบการณ์ตัวเอง..
เผื่อจะมีประโยชน์สำหรับผู้อื่นบ้างน่ะค่ะ...

เพราะกว่าจะมีวันนี้ ก็เพราะเรียนรู้จากคนอื่นมาเหมือนกัน...
ทุกๆคน ในโลกใบนี้คือครูของหลิว....หลิวคิดแบบนั้นนะ
เพราะถ้าไม่มีผู้คน หลิวก็คงไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย

เสียดาย คนตายไม่ได้เล่า 10 : ตัวตายตัวแทน



นี่จะเป็นเรื่องสุดท้ายที่เล่านะคะ...

ส่วนเรื่องทำแท้ง...ไม่สามารถเขียนออกมาเป็นเรื่องเล่าได้...

เพราะว่าเป็นเรื่องราวที่มีคนอื่นเกี่ยวข้อง...

และไม่อยากให้คนนั้นต้องได้รับความเสียหายค่ะ...


------------

เรื่องของตัวตายตัวแทนที่หลิวเล่า...อาจจะไม่เหมือนคนอื่น
หรืออาจจะไม่มีใครเคยได้ยินมา
จริงๆ หลิวก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าตัวแทนตัวตายได้มั้ย


เอาเป็นว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นตอนหลิวอายุ 15 

มีหลายๆครั้ง ที่คนจะบอกว่า หลิวเป็นคนดวงแข็งมาก
 เกิดวันเสาร์ เดือนสิงหา ปีมะเส็ง

พูดตรงๆ ตั้งแต่เกิดมาหลิวไม่เคยประสบอุบัติเหตุอะไรแรงๆเลยค่ะ
หัวแตกยังไม่เคยเลย
เวลาจะไปไหน มักจะมีเหตุการณ์มา...ให้ไม่ได้ไปตลอด..

แต่ก็มีคนทักเหมือนกันว่า จะมีบางช่วงที่จะมีปัญหาจริงๆ 
คือตอนอายุ 15 และเบญจเพศ

ตอนนั้น หลิวจำได้ว่ามีทั้งพระและหมอดูที่ทักเรื่องนี้
แนะนำให้ไปนุ่งขาวห่มขาว ช่วงนั้น

แต่ไม่ค่อยเชื่อค่ะ...
เลยอยู่ปกติ

จนวันหนึ่ง จำได้เลย คืนวันเกิดพอดี...
หลิวฝันค่ะ
ฝันว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งมาหาที่หน้าบ้าน...
แล้วชวนออกไปข้างนอก บอกว่าจะพาไปเที่ยว
มีงานวัด

เราก็เดินตามไปค่ะ เพราะอยากไปเที่ยว
แถวบ้านหลิวจะค่อนข้างเงียบ
เพราะอยู่นอกเมือง...
รอบข้างจะเป็นทุ่งนา และมีคลอง 
รอบข้างจะเป็นที่ดินเปล่าๆ เพราะตอนนั้นยังไม่มีใครมาซื้อที่แถวนี้ค่ะ
แต่จะมีหมู่บ้านตำรวจอยู่ข้างหลัง ติดกันเลย

หลิวก็เดินตามผู้หญิงคนนั้นไป ผู้หญิงคนนั้นไม่หันมามองเลยค่ะ
เดินผ่านที่ดินรกร้าง ที่ยังไม่มีบ้านไปจนถึงคลองเลย

แต่พอไปถึงที่ที่ผู้หญิงคนนั้นบอก
มันกลับไม่มีงานวัดค่ะ
เป็นที่ดินเปล่าๆ ที่ข้างหน้าเป็นคลองชลประทาน

ที่นี้หลิวเลยสงสัยค่ะ เลยไม่ตามไปใกล้ๆ
เค้าบอกว่าให้มาใกล้กว่านี้อีกหน่อย ...ซึ่งใกล้คลองมาก

แต่หลิวเป็นคนกลัวน้ำ เพราะเคยจมน้ำและว่ายน้ำไม่เป็น 
หลิวเลยไม่กล้าเข้าไปใกล้ค่ะ
พอไม่เข้าไป ผู้หญิงคนนั้นก็โกรธและขึ้นเสียง
พูดว่า บอกให้มาก็ไม่มา...

ซึ่งตอนนั้นหลิวคิดว่าไม่ใช่แล้ว เลยวิ่งหนีค่ะ
เค้าก็วิ่งตามมา บอกไม่ให้ไป เค้าจะจับเรา
 หลิววิ่งกลับไปที่บ้าน แต่ไม่มีใครได้ยิน ไม่มีใครช่วย
หลิวเลยวิ่งไปบ้านน้องหลังบ้านที่สนิทกันค่ะ

พอวิ่งไปถึง...ก็รีบตะโกนเรียกให้เค้าช่วย
แล้วก็มีเจ้าที่เป็นผู้หญิงคนหนึ่งสวยมาก ใส่ชุดขาวรีบมาพาเราไป
เขากอดหลิวไว้เลยค่ะ บอกว่าไม่ต้องกลัว ผีเข้าไม่ได้ 
เค้าเอาไปไม่ได้แล้ว พูดแบบนี้เลยค่ะ
แล้วบอกว่าเดี๋ยวจะให้คุณอาไปไล่ให้ ก็เห็นผู้ชายอีกคนหนึ่งค่ะ
เดินออกไปที่หน้าบ้าน ไปไล่ผีนั้น จนผีนั้นกลับไปค่ะ

แล้วเค้าก็พาเรามาส่งที่บ้าน

แล้วก็ตื่นนอนค่ะ เหงื่อเต็มตัวเลย...
ยอมรับเลยว่าตอนนั้นกลัวมาก ถ้าไม่มีเจ้าที่ที่ช่วยไม่รู้จะเป็นยังไง
เค้าจะเอาเราไปทำอะไร...
ความรู้สึกเหมือนกับไม่รอดแน่นอน จากสัญชาติญาณ

........

เพื่อความแน่ใจ วันต่อมาเลยไปแอบถามน้องเค้าค่ะ
ว่าเคยเห็นเจ้าที่มั้ย เป็นแบบไหน
น้องบอกแม่เค้าเคยเห็น แล้วเจ้าที่ที่แม่เค้าเล่า
ให้ฟังเป็นเหมือนกับเจ้าที่สองคนที่หลิวเจอเลยค่ะ
ทั้งๆที่หลิวไม่ได้เล่าอะไรให้เค้าฟังเลย

เลยรู้ว่าเรารอดมาได้เพราะเค้า

-----

หลังจากนั้นก็มีเหตุการณ์อีกหลายอย่างที่มีคนคอยช่วย

เพราะเคยมีครั้งหนึ่ง ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ ช่วงหัวค่ำ
แล้วมองไปข้างหน้า เห็นผู้ชายใส่ชุดขาว 
โบกมือเหมือนกับว่า ให้เราขยับออกจากตรงนั้น
หลิวก็ขยับตาม แวบเดียวงูตกลงมาที่หลิวยืนอยู่เมื่อกี้เลยค่ะ

ถ้าไม่เดินหนีตามทางที่เค้าบอก คงตกใส่หลิวไปแล้ว

-------

หลิวเคยเอาเรื่องพวกนี้ไปถามพี่คนนึง
พี่เค้าบอกว่า จริงๆแล้ว เทวดา เจ้าที่ หรือวิญญาณที่มาช่วยเรา
เค้าจะช่วยได้ก็ต่อเมื่อเราไม่มีเคราระห์กรรมที่จะต้องเจอเหตุการณ์เหล่านั้น
แต่ถ้าหากว่าเรามีกรรมที่ต้องเจอ ไม่ว่าใครก็ช่วยไม่ได้ แม้แต่ตัวเราเองค่ะ







เสียดาย คนตายไม่ได้เล่า [ ภาคพิเศษ ] : ทำแท้ง



เสียดายคนตายไม่ได้เล่า ภาคพิเศษ

คือหลิวเอามาแต่งเล่น ๆ....
ถ้าจะพูดถึงเรื่องทำแท้ง...
ก็กลัวมันจะแรงไป และกระทบอะไรหลายๆอย่าง...
เลยเอามาแต่งเป็นเรื่องสั้นดีกว่าค่ะ...

หวังว่าจะได้รับความสนุกสนานนะคะ...
หลิวไม่เคยแต่งอะไรแนวนี้เลย....

ผิดพลาดยังไงของอภัยด้วยนะคะ 
+++++++++++

มันเป็นเรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่ง
นิชา...หญิงสาวธรรมดาคนหนึ่งดีใจมากเมื่อเธอได้พบรักกับธกร
ชายหนุ่มที่มีทั้งรูปและทรัพย์ จนทำให้ใครๆก็พากันอิจฉาเธอ

แม้ไม่คิดว่าเธอจะมีโอกาส
แต่สุดท้ายเธอก็ได้แต่งงานกับเขา

ในภาพที่สวยงามเหล่านั้น....
เธอไม่รู้เลยว่า...เธอกำลังก้าวเท้าเข้าไปเจอกับอะไร......


---------

ภายใต้เงามืด เด็กชายและเด็กหญิงคู่หนึ่งยืนมองนิชาอยู่เงียบๆ
เด็กทั้งสองแต่งตัวสกปรกมอมแมม
แม้แต่รองเท้าก็ไม่มีใส่
ร่างกายซีดและซูบผอม
ดวงตาลึกโหลอยู่บนใบหน้าหมองคล้ำ
ริมฝีปากซีดและแห้งผาก ไม่เคยมีแม้แต่รอยยิ้ม
เช่นเดียวกับสายตาที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น

และคำถามที่ติดอยุ่ในใจของพวกเขามานานแสนนาน
"ฆ่าพวกเขาทำไม"

------------ 

หลังจากแต่งงาน
นิชาก็ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านของธกร
ชีวิตของเธอกำลังจะไปได้ดี 
เพราะธกรก็มีการงานที่มั่นคง....และเธอเองก็เช่นกัน

ทั้งสองตั้งใจว่าจะมีลูกด้วยกัน เพราะพวกเขาต่างก็พร้อมแล้ว....
------------------
นิชาทำงานเป็นเลขานุการของอธิการบดีสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่ง....
บางวันเธอจึงเลิกงานดึก
และต้องเดินเข้าที่จอดรถคนเดียว

....
วันนี้ก็เช่นกันที่นิชาต้องเลิกงานดึก
หญิงสาวหอมแฟ้มกระเป๋าเดินกลับไปที่รถญี่ปุ่นคันเล็กของเธอ
โดยไม่รู้เลยว่า มีเด็กสองคนกำลังรอคอยเธออยู่

หญิงสาวเดินเข้ามาเงียบๆ ท่ามกลางบรรยากาศที่วังเวง
เพราะทุกคนให้มหาวิทยาลัยกลับกันไปหมดแล้ว
ตึกอธิการบดีนั้นแยกจากคณะอื่นๆ...
และตั้งอยู่ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่...
ปกตินิชาไม่ใช่คนกลัวความมืด แต่วันนี้เธอรู้สึกแปลกไป...
----
ในที่สุดเธอก็เดินมาถึงรถและเตรียมสตาร์ทรถของเธอ
ไฟหน้ารถที่ส่องสว่าง ทำให้เธอเห็นภาพเด็กสองคนนั่งยองๆอยู่ข้างหน้า
โดยหันหลังให้เธออยู่ และเหมือนไม่รู้เลยว่ามีไฟจากรถของเธอส่องไปที่พวกเข้าอยู่

เด็กสองคนใส่ชุดซอมซ่อและมาร่างกายที่ซูบผอม
ทั้งๆที่อากาศหนาว แต่พวกเข้าไม่มีแม้แต่รองเท้าจะใส่

-----
คงเป็นเด็กจรจัด
นิชาคิด
เธอไม่กล้าลงไป เพราะกลัวว่าอาจจะเป็นแก๊งค์เด็กอันธพาล
ไม่กล้าแม้แต่จะเปิดกระจก
สุดท้ายเธอจึงตัดสินใจ บีบแตรเพื่อให้เด็กทั้งสองได้ยินและรู้ตัว
--------
ตอนแรกเด็กทั้งสองไม่ขยับเขยื้อน....
พวกเขายังนิ่งอยู่สักพัก...ก่อนที่พวกเขาจะค่อยๆ หันมาอย่างช้าๆ
โดยไม่แม้แต่จะลุกขึ้นยืน หันมาทั้งๆที่ยังนั่งยองอยู่แบบนั้น
---------
เป็นไปไม่ได้!!!
มันผิดธรรมชาติ....สิ่งที่เด็กสองคนนั้นกำลังทำมันผิดธรรมชาติ

......แต่เด็กสองคนยังไม่หยุด....
พวกเขาหันมาพร้อมกับแสยะยิ้ม....
ใบหน้าขาวโพลน ดวงตาแดงก่ำไปด้วยเส้นเลือด
พวกเขาหัวเราะ

ทั้งๆที่อยู่ข้างนอกรถ
แต่เธอกลับได้ยินเสียงพวกเขาอย่างชัดเจน....
เพราะเสียงนั้นมันดังมาจากเครื่องเสียงในรถยนต์ของเธอเอง
-----
ไม่!!!
นิชาลนลาน...พร้อมกับพยายามที่จะปิดเครื่องเสียง...
แต่มันกลับปิดไม่ได้...
เด็กยังคงหัวเราะ...
และดังยิ่งกว่าเดิม....

-----------

ไป!!!
นิชาตะโกนไล่เสียงดัง...
เด็กทั้งสองค่อยๆลุกขึ้นยืน
ขาและแขนที่ผอมแห้งของพวกเขามีแต่รอยถลอก 
และเลือดแห้งเกรอะกรังเต็มไปหมด

เด็กผู้หญิงยื่นมือที่ผอมติดกระดูของเธอมาข้างหน้า
นิ้วเล็กๆชี้มาตรงหน้าของเธอ

เล็บแห้งเกรอะกรังยาวและแหลมคมเหมือนกับคนไม่เคยได้ตัดเล็บเลย
ส่วนเด็กผู้ชายค่อยๆ ย่อตัวลง...
และกระโดดขึ้นมาบนฝากระโปรงรถของเธอ

ปัง! ปัง!
 เด็กชายกระโดดอยู่เรื่อยๆ
-------

หยุดนะ!!
เด็กชายหยุดนิ่ง เมื่อได้ยินเสียงร้องห้าม
เขาค่อยๆ ย่อตัวลง.....
จากที่ยืนอยู่ค่อยๆก้มลงมาเรื่อยๆ

กางเกงขาดวิ่นเหมือนกับเสื้อผ้าของเขา
ทุกอย่างเผื้แนจนดูไม่ออกว่าเคยเป้นสีอะไรมาก่อน....

----

เด้กชายคุกเข้าลงบทฝากระโปรงรถ...
ใบหน้าของเขาก้มลงมาอยู่ตรงหน้าของนิชาพอ...

เด็กชายสแยะยิ้มจ้องมอง...

พร้อมกับดวงตาที่ขาวโพลน....


โปรดติดตามตอนต่อไป


[ภาพยนต์] Into the wood.... เราจะโตไปพร้อมๆกัน

สำหรับใครที่ยังไม่ได้ดู
หลิวจะบอกว่ามันมีสปอยเนื้อเรื่องนะคะ...
นิดหน่อย คือน้อยมากๆ
ถ้าไม่คิดอะไรก็อ่านได้ค่ะ...
สไตล์หลิวไม่ใช่การเล่าเรื่องย่อหนังอยู่แล้ว...


รีวิวแนวเดิมนะคะ....เน้นวิเคราะห์ไปเลย...
จะไม่ค่อยท้าวความถึงเนื้อเรื่องเท่าไหร่ 
(เพราะหลิวขี้เกียจเขียน เป็นคนขี้เกียจมากกกก)
ตามนั้นเนาะ
ไปเล้ยยย


บอกตรงๆตอนแรกหลิวไม่คิดจะดูเรื่องนี้เลย...
ตอนเห็นตัวอย่าง...
เพราะหลิวไม่ค่อยชอบหนังเพลงอะไรเท่าไหร่
(ตอนเด็กชอบนะ แต่แก่มาแล้วเฉยๆ สง
สัยมันเลยวัย)

แต่พอมาเห็นตอนท้ายๆของตัวอย่าง
ที่แม่มดพูดว่า "จงเป็นเด็กเมื่อเจ้ายังมีโอกาสที่จะเป็น"
น่าจะประมาณนี้....หลิวเลยเปลี่ยนความคิดใหม่ อยากดูแล้ว...
ด้วยคำถามที่ว่า

 

"ดิสนี่ย์ กำลังจะทำอะไร...........จ๊ะ"
ถ้าใครที่โตมากับเทพนิยายดิสนีย์อย่างหลิว......
เราก็คงจะเกิดคำถามนี้คล้ายๆกัน...
การ์ตูนเทพนิยาย มีความสุขตลอดกาล......
ภาพดิสนีย์ในสายตาหลิวเป็นแบบนั้น
มันคือความฝันที่สวยงาม.....
ตอนเด็กบ้าการ์ตูนดิสนี่ย์ โ
โตมาก็มาบ้าการ์ตูนของทิมเบอร์ตัน
นั่นแหละ
หลิวเลยเกิดคำถาม ดีสนี่ย์กำลังจะทำอะไร
จะบอกอะไร....

แนวย้อนแย้งเทพนิยายในสไตล์ของตัวเอง
ดีสนี่ย์จะให้คำตอบยังไง


โดยส่วนตัวหลิวไม่แน่ใจว่าดิสนี่ย์ เ
คยทำแนวนี้มั้ยนะคะ...
แต่สำหรับหลิว หลิวเพิ่งเห็นเรื่องนี้นะ...
อาจมีมาลิฟิเซนต์ด้วยมั้ง...
แต่เรื่องนั้นหลิวไม่ได้ดู
พราะเดาตอนจบและแนวเรื่องออก เลยไม่ดู....
แต่ Into the wood นี่เดาไม่ออก....เลยต้องดู ว่าพี่ดิสนี่ย์แกต้องการอะไร


และพอดูจนจบ.....
หลิวก็....ไม่รู้ว่า....
"ดีสนี่ย์...ต้องการอะไร"
หลิวไม่รู้เพราะอะไรนะ.....
หลิวพอจะเดาออกว่าหนังต้องการชี้ให้เห็นว่า.....

โลกของเทพนิยายกับโลกแห่งความจริงมันแตกต่างกัน
มันไม่ใช่สีขาวกับดำ แต่มันคือสีเทา......

อันนี้ไม่ได้ผิดที่หนังหรอก....
ผิดที่หลิวเอง เพราะหลิวคาดหวังมากเกินไป......

หลิวคาดหวังที่จะได้เห็นการ์ตูนเด็ก หรือหนังเด็กที่ทำให้ผู้ใหญ่ดู..

ตีความยากๆ วิเคราะห์เยอะๆ 
แต่พอหลิวมาเจอเรื่องนี้แล้วมันไม่ใช่...
เพราะเรื่องนี้ใช้แค่เทพนิยาย
และนำนื้อหาในเทพนิยายมาสะท้อนให้เรามองเห็นโลกแห่งความเป็นจริง....

จริงๆแล้วมันเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมมากเลยนะ.
...กลวิธีแบบนี้...
แต่อย่างที่หลิวบอกหลิวคาดหวังมากเกินไป...
หลิวคาดหวังจะได้เห็นหนังแบบที่ทิมเบอร์ตันทำ
(เพราะหลิวจะได้มีตัวเลือกจากค่ายอื่นให้ดูบ้าง)
และเมื่อมันไม่ใช่ หลิวเลยออกมาจากโรงหนังด้วยอารมณ์....

"แนวเรื่องแบบนี้มันก็รู้อยู่แล้วนี่น่า..เซ็งอ่ะ"



 
จนกระทั่งหลิวมาเข้าห้องน้ำ....
ก็มีเด็กๆกลุ่มหนึ่งที่พ่อแม่พามาดูหนังเรื่องนี้....
มากันหลายคนเลย..เด็กๆก็พากันร้องเพลงในเรื่อง...
"into the wood into the wood"

แล้วหัวเราะวิ่งเล่นกันอย่างมีความสุข....
และตอนนั้นแหละที่หลิวก็พบคำตอบของตัวเอง....

เราผิดหวัง เพราะเราคาดหวังอะไรที่มากว่าที่เราเคยชิน...
เราคาดหวังที่จะหาอะไรเพื่อเติมเต็มตัวเอง...


แต่สิ่งที่หลิวลืมมอง คือ เด็กๆ...
ทุกๆครั้งที่หลิวดูหนังแอนิเมชั่นของทิมเบอร์ตัน...

หลิวไม่เคยสนใจหรอกว่า....เด็กจะได้อะไร...
เพราะสิ่งที่หลิวสนใจ คือผู้ใหญ่อย่างเราจะได้อะไรมากกว่า....
เพราะหนังของทิมเบอร์ตัน มีนัยยะถึงผู้ใหญ่ค่อนข้างมาก....

แต่ในเรื่อง into the wood
หลิวว่าน่าจะมีจุดประสงค์ที่แตกต่าง...
ต้วยสไตล์ของดีสนีย์
คือค่อยๆแทรกความดีความงาม
ผ่านเรื่องเล็กๆ สิ่งๆเล็กน้อยๆในการ์ตูน....
และเด็กจะรับมันไปโดยไม่รู้ตัว...
และทุกสิ่งเหล่านั้น
จะค่อยๆสอนให้เด็กมองโลกอย่างมีเมตตาและสวยงาม....

แต่ด้วยอะไรหลายอย่างในปัจจุบัน...
โลกที่หมุนเร็วขึ้น เด็กเริ่มจะรู้ว่าความฝันที่สวยงามนั้นไม่ใช่เรื่องจริง....
สภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป....

ความเพ้อฝัน และจิตนาการสุดโต่ง
อาจไม่ได้ตอบโจทย์ทั้งหมด...
เมื่อก่อนเราอาจชอบเจ้าหญิงเจ้าชายจนอายุ 13-14"...
แต่เด็กสมัยนี้ โตเร็วกว่านั้น...

แล้วช่วงระหว่างนั้นล่ะ....


เทพนิยายก็เหมือนการปกป้องเด็กเอาไว้ด้วยความฝันที่สวยงาม...
แต่เมื่อก้าวพ้นมาจากเทพนิยายนั้นแล้วล่ะ....


เด็กบางคนก็โตอย่างผิดๆถูกๆ...
กลายเป็นผู้ใหญ่ที่แยกคำว่า
ความดี และความเลวออกจากกันอย่างสิ้นเชิง...

และสิ่งนี่แหละที่ทำให้สังคมทุกวันนี้
ขาดความเข้าใจซึ่งกันและกัน...
จนก่อเกิดมาเป็นปัญหาสังคมอย่างทุกวันนี้....
เราลืมคิดไปว่าคนเรามีทั้งดีและเลว


เรื่องนี้จึงเปรียบเสมือนการเติบโตของเทพนิยาย

จากโลกสวยงามแห่งความฝัน ความดีด้านเดียว...
ไปจนถึงการตอบคำถาม ของผู้ใหญ่ที่เติบโตมาจากการเป็นเด็ก.....
"
เทพนิยายไ่ม่มีจริง และสุขตลอดกาล นั้นไ่ม่มีจริง"

เรื่องนี้กำลังจะพาเราเดินไปที่ละขั้น

เหมือนกับบันไดขั้นที่หายไปของการเติบโต...
เด็กน้อยเติบโตจากความฝันที่สวยงาม...
และพบว่าแม้โลกแห่งความจริงนั้น...
จะไม่ใช่ดั่งในฝันเสมอไป....
ไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆ พรทุกขอไม่ได้ได้มาโดยไม่เสียอะไรตอบแทน
คำสาปทุกอย่างไม่ได้มาแค่จากคำว่าโทสะและอิจฉาริษยา

และแม้ว่าในโลกแห่งความจริงนั้น
จะมีสิ่งที่ไม่ดี ความเจ็บปวด การสูญเสีย....
แต่ก็มีสิ่งที่ดีงามมากมายอยู่ในนั้นเช่นกัน.....

มิตรภาพ การให้อภัยและความเข้าใจ

"ทุกคนโทษกันเองว่าใครเป็นคนทำให้ยักษ์ลงมา.....
แต่สุดท้าย ทุกคนก็หันกลับมาช่วยกันแก้ไข

ทุกคนโทษแจ็ค ว่าแจ๊คเป็นต้นเหตุ
แต่สุดท้าย ทุกคนก็เลือกที่จะปกป้องแจ็คไว้"

นี่คือโลกแห่งความจริง....
ที่ถึงแม้เราจะทะเลาะเบาะแว้ง...

เราพบเจอแต่ปัญหา
จนเห็นว่า โลกนี้ไม่ได้สวยงามอย่างในเทพนิยายที่เราเห็นตอนเด็กๆ......

แต่โลกนี้ก็ไม่ได้เลวร้าย.....
เพราะสิ่งดีดีในโลกนี้ก็ยังดีงาม...และขึ้นอยู่ที่เราว่าจะมองหาอะไร...
ระหว่างความเลว กับความดี.....


สุดท้าย หลิวก็ยังคงประทับใจดีสนีย์เหมือนเดิม....

เพราะดีสนีย์ คือผู้ใหญ่ที่ไม่เคยลืมเด็ก.....

เราอาจโตแล้ว จนลืมไปว่า เด็กๆ ไม่ได้เข้าใจอะไรเหมือนเรา....
เราอาจโตแล้ว จนคอยแต่มองหา อะไรที่ซับซ้อน มากกว่าเด็กๆ.....

เราอาจลืม ว่าเราเคยเป็นเด็กยังไง...
เคยเข้าใจอะไร....

 
หลิวนั่งอยู่ในโรงหนังพร้อมกับคำถามในใจว่า
หนังต้องการอะไร เมื่อร้องเพลงท้ายๆเรื่องว่า "เราไม่ได้อยู่เดียวดาย"
หนังจะบอกอะไร

จนกระทั่งเสียงหัวเราะของเด็กเหล่านั้น....
ทำให้หลิวเข้าใจว่า....

หนังไม่ได้บอกกับผู้ใหญ่...แต่กำลังบอกกับเด็กๆว่า...


"เด็กๆไม่ได้อยู่เดียวดาย"

แม้ผู้ใหญ่บางส่วน อาจลืมวัยเด็กของตัวเองไปแล้ว....
แต่ก็มีผู้ใหญ่อีกหลายๆคน...ที่ยังมองเห็นความสำคัญของวัยเด็ก....
ความคิดที่ละเอียดอ่อน และไม่ซับซ้อน....

 
ดิสย์นี่ย์ยังเติบโตไปพร้อมกับเด็กๆ หนังเรื่องนี้ทำให้หลิวเห็นแบบนั้น....

และเสียงหัวเราะของเด็กๆ ก็คอยย้ำเตือนให้ผู้ใหญ่รู้ว่า...


"เราต้องเติบโตไปพร้อมๆกับพวกเค้า และอย่าปล่อยพวกเค้าให้ต้องเดียวดายเพียงลำพัง"