วันนี้แวะมาอัพเรื่องสั้นค่ะ
โจทย์ก็คือ
ไม้ต้นขนาดใหญ่ สูงประมาณ 15-30 เมตร เปลือกต้นสีเทาเข้มแตกเป็นร่อง มีเนื้อไม้แข็งสีเหลืองอ่อนแกมเขียว ใบเป็นใบเดี่ยว ออกสลับ รูปขอบขนานหรือรูปมนรี ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ขอบใบเรียบไม่มีจัก ด้านหลังของใบจะมองเห็นเส้นขนานใบนูนได้ชัด
ต้องมีประโยคนี้...อยู่ในเรื่องสั้น....
ด้วยความชอบส่วนตัว...
และความบันเทิงในการเขียน (ของตัวเอง)..
เลยเขียนแนวนี้
แถมมี ภาค 2 ด้วย ....555
ลองอ่านดูนะคะ

ไม้ต้นขนาดใหญ่ สูงประมาณ 15-30 เมตร เปลือกต้นสีเทาเข้มแตกเป็นร่อง มีเนื้อไม้แข็งสีเหลืองอ่อนแกมเขียว ใบเป็นใบเดี่ยว ออกสลับ รูปขอบขนานหรือรูปมนรี ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ขอบใบเรียบไม่มีจัก ด้านหลังของใบจะมองเห็นเส้นขนานใบนูนได้ชัด
พอๆๆ..ควาร์ก
ฉันเห็นข้อมูลที่ขึ้นบนจอหมดแล้ว
นั่นแหละต้นพยอม ขับยานลงไปได้เลย
หญิงสาวผมเงินพูดพร้อมกับหันไปมองใบหน้าขาวของควาร์กผู้เป็นคู่หมั้นของเธอ
ชายหนุ่มผู้มีนัยต์ตาสีแดงส่งยิ้มยียวนมาให้
พร้อมกับเสียงหัวเราะที่เขากวนประสาทเธอได้สำเร็จ
“ฉันคิดว่าเธอจะลืมต้นไม้ต้นนี้ไปซะแล้ว เลดี้”
ควาร์กว่าพร้อมกับค่อยๆขับยานลงจอดบนพื้นอย่างช้าๆ
“ต้นพยอมจัดเป็นต้นไม้หวงห้ามประเภท ก ของกรมป่าไม้
และเป็นไม้อนุรักษ์ในโครงการพันธุ์ไม้หายาก
ในพระอุปถัมภ์ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี
เอฬิณา!!! ตื่นได้แล้ว”
“คะ อะไรนะ
อ๋อ!เรากำลังเรียนเรื่องต้นพยอมอยู่ค่ะ”
สาวน้อยตากลมสะดุ้งขึ้นมาด้วยความตกใจ
พร้อมพูดออกไปมั่วๆ
เรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนทั้งห้องที่กำลังเหงาหลับอยู่ไปทั่ว
“หลับในห้องเรียน เป็นตัวอย่างที่ไม่ดี
ออกไปยืนหน้าห้องเดี๋ยวนี้ เอฬิณา”
“อาจารย์ขา หนูผิดไปแล้ว”
หญิงสาวตัวเล็กทำหน้าหงอย
แต่เธอก็ยินยอมเดินออกไปยืนหน้าห้องแต่โดยดี
อย่างน้อยก็ดีกว่านั่งเรียนล่ะนะ หญิงสาวแอบคิดในใจ
“เอาไม้บรรทัดไปคาบพร้อมกับยืนขาเดียวด้วย”
อาจารย์ว่าพร้อมกับยื่นไม้บรรทัดให้เธอ
“นี่มันมหาลัยแล้วนะคะ และหนูก็อายุยี่สิบแล้ว
แบบนี้อายเค้าตายเลย” เอฬิณาว่าพร้อมทำหน้าหงอยๆ
“ทุกๆคน เอฬิณามีคติประจำตัว
ในวันที่แนะนำตัวกับเราวันแรกว่าไงนะ”
“สวย น่ารัก ทำอะไรก็ได้ไม่อายใคร
ถ้าไม่ทำให้ใครเดือดร้อน กลัวอะไร เพราะฉันไม่แคร์สื่อ”
เพื่อนยี่สิบกว่าคนในห้องเรียนพูดพร้อมกัน
ทำให้เอฬิณาต้องจำยอมไปยืนหน้าห้อง
เธอไม่อยากผิดคำพูดที่ใช้เป็นคติประจำตัวเธอ
ถึงแม้มันจะชอบสร้างความเดือดร้อนให้เธอก็เถอะ
อย่างน้อยก็แค่อายล่ะน่า เอฬิณาคิดในใจแล้วเดินออกไป
“เปลือกพะยอมใช้ใส่เครื่องหมักดองเพื่อกันบูด
ใช้รับประทานแทนหมากได้ แถมยังฟอกหนังได้ด้วย!!
ประโยชน์ของต้นพะยอมมีมากมายหลายแสน
ข้อเสียมีข้อเดียวคือ ต้นบ้านี่ทำให้ฉันต้องยืนขาเดียวหน้าห้องเรียน
อายเค้าชะมัด ไอ่ต้นไม้บ้า!!!” พูดจบหญิงสาวก็ยกลำแข้งเล็กๆของเธอ
เตะเข้าไปที่ต้นไม้ใหญอย่างลืมตัว
“อ้าก ก ก ก....เจ็บๆๆๆ”
หญิงสาวเอาสองมือจับข้อเท้าของตัวเองแล้วกระโดดหยองแหยงเหมือนกระต่าย
“เจ็บชะมัด จะมีคนเห็นมั้ยเนี่ย”
เธอบ่นพร้อมกับทิ้งตัวนั่งลงบนกับพื้นหญ้าใต้ต้นพะยอม
“มี!!!” เสียงหนึ่งดังขึ้นมา
ก่อนที่ร่างสูงของชายคนหนึ่งจะกระโดดตุบลงมาตรงหน้าเอฬิณา
“นายเป็นใคร ทำไมตกลงมาจากต้นไม้”
เอฬิณาถามด้วยเสียงเซ็งๆ เธอยังคงเจ็บข้อเท้าอยู่จึงไม่ได้อยากสนใจอะไรมากนัก
“แล้วเธอเป็นใคร ทำไมถึงมาเตะต้นไม้”
เขาถามกลับ เอฬิณาเงยหน้าขึ้นมา
นัยต์ตาดำพร้อมกับริมฝีปากสีแดงสดเหมือนเชอรรี่ส่งยิ้มมาให้
เอฬิณาจ้องมองหน้าเขาแล้วหัวเราะออกมา
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
เอฬิณาหัวเราะจนล้มลงไปกองกับพื้น
เสียงหัวเราะของเธอประสานกับเสียงหัวเราะของเขา
ที่ตามมาทีหลัง
“คนบ้าอะไรทำทรงผมแบบนั้น”
เอฬิณาว่าพร้อมกับชี้ไปที่ทรงผมของผู้ชายคนนั้น
ชายหนุ่มที่ทำผมสองสี ข้างหนึ่งสีดำข้างหนึ่งสีทอง
ถ้าเขาหน้าตาไม่ดีคงน่าตลกกว่านี้อีก เอฬิณาคิดในใจก่อนจะหัวเราะต่อ
“เอ๊ะ..แล้วนายหัวเราะอะไรฉัน”
เอฬิณาว่าหลังจากที่คิดได้ว่าเขาก็หัวเราะเธอเหมือนกัน
“ตอนที่เธอหัวเราะฉัน...เธอกลิ้งไปโดนรังมดแดงน่ะ”
ชายหนุ่มว่าพร้อมกับชี้มือไปที่รังมดแดงที่เอฬิณานั่งทับอยู่
“อ้าก ก ก.เจ็บๆๆ คันๆ ทำไมนายไม่บอกฉันเล่า
ปล่อยให้นั่งอยู่ตั้งนาน”
เอฬิณารีบลุกขึ้นและหันหน้าไปตั้งใจจะกระโดดเตะนายหัวสองสีนั่นสักที
แต่...เขาหายไปแล้ว
“กลับมานี่เดี๋ยวนี้นะ !!!” เอฬิณาตะโกนเรียกแต่เขาก็หายไปเสียแล้ว
................................................................................................................................................................
“หึ หึ”
ควาร์กหัวเราะคนเดียวเงียบๆ
ระหว่างนั่งคิดถึงอดีตสมัยที่เขาและเลดี้มายังโลกมนุษย์
“นายจะเอาต้นไม้กลับไปใช่มั้ย”
เลดี้ว่าพร้อมกับยื่นกล่องใสสีขาวบรรจุเมล็ดพันธุ์ของต้นพยอมให้ควาร์ก
“อืม...จะเอาไปปลูกที่บ้าน” เขาว่าพร้อมกับมองไปรอบๆ
ที่นี่กลายเป็นสถานที่ที่ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตใดใด
ดาวโลกกลายเป็นเพียงดาวเคราะห์ร้างที่หลงเหลือเพียงซากปรักหักพัง
ที่เป็นผลมาจากปรมาณูที่มนุษย์ทิ้งระเบิดมาทำลายล้างกันเอง
“น่าเศร้านะ...ว่าไหม”
เลดี้ว่าพร้อมกับมองไปรอบๆ
ครั้งหนึ่งเธอและควาร์กเคยคิดว่าพวกเขาเป็นมนุษย์
เคยอยู่ในยุคแห่งสงครามนิวเคลียร์ที่มนุษย์ทำลายล้างกันเอง
แต่ก็มีคนกลุ่มนึงรอด
นั่นคือผู้คนจากดาวเคราะห์ต่างๆที่ซ่อนตัวอยู่ในรูปแบบของมนุษย์
เธอและควาร์กก็เป็นหนึ่งในนั้น
หญิงสาวและชายหนุ่มจากจักรวรรดิอันโดรเมดร้าอันไกลโพ้น
“ถ้าเราเป็นมนุษย์ เราก็คงไม่รอด”
ควาร์กว่าพร้อมกับเดินไปที่ยานของเขาโดยมีเลดี้กระโดดไปนั่งข้างๆ
"คราวหน้าไปเกิดที่ดาวดวงไหนกันดี”
เลดี้หันไปถามควาร์ก เธอชักตื่นเต้นอยากออกไปเที่ยวต่อเสียแล้ว
“ขอพักสักร้อยปีก่อนได้ไหม
เพิ่งเกิดเป็นมนุษย์ เหนื่อยจะตาย”
ควาร์กว่าพร้อมกับทำหน้าเบื่อหน่าย
เขามองคู่หมั้นสาวจอมขี้เล่น
หญิงสาวที่ขยันไปเกิดเป็นนั่นเป็นนี่ไปทั่วจักรวาล
ทั้งๆที่บางครั้งก็แสนเหนื่อยกับการไปเกิดและเผชิญความลำบาก
ตามรูปแบบของสิ่งมีชีวิตต่างๆ
แต่เลดี้กลับไม่ยอมเหนื่อย และตัวเขาเองก็ไม่สามารถปล่อยให้เธอไปลำบากคนเดียวได้
ต้องตามไปปกป้องเธอด้วยทุกครั้ง
“พอพักผ่อนสักร้อยปีแล้ว ฉันว่าฉันจะลองไปเกิดเป็นโดโรธี”
เลดี้ว่าพร้อมกับสายตาเพ้อฝัน
“ควาร์ก แล้วนายอย่าลืมตามฉันไปเกิดเป็นหุ่นกระป๋องล่ะ”
เด็กสาวยิ้มและเอนเบาะลงพร้อมกับจมเข้าสู่ห้วงนิทรา
“เฮ้อ...เดี๋ยวได้เหนื่อยอีกแล้ว”
ควาร์กบ่นกับตัวเองเงียบๆ
ก็จะเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนยานอวกาศ
เป็นระบบความเร็วแสงแล้วออกเดินทางกลับสู่บ้านของเขา
จักรวรรดิอันโดเมรดร้า หรือ ดินแดนแห่งความว่างเปล่า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น