วันนี้มาเขียนเรื่องสั้นค่ะ...
มันเกิดจากความคิดชั่วครู่ระยะหนึ่ง
เลยมาเขียน....
ฉันตื่นขึ้นมาในเช้าวันหนึ่ง....
ในวันที่ทุกอย่างดูเงียบสงบไปหมด
นาฬิกาที่หัวเตียงหยุดนิ่ง
บางที่ถ่านมันอาจจะหมด หรือพังไปแล้วก็เป็นได้
ฉันค่อยๆลุกจากเตียงช้าๆ
ที่พักฉันเป็นอพาร์ทเม้นเก่าๆแห่งหนึ่ง
ฉันเลือกที่จะอยู่ที่นี่เพราะราคามันถูก
และห้องก็กว้างใช้ได้ทีเดียว
อีกอย่างมันเป็นอพาร์ทเม้นที่อยู่กลางเมือง
เดินทางได้สะดวก แต่ราคาถูกจนน่าใจหาย
ตึกที่ฉันอยู่สูงมาก มีทั้งหมด 25 ชั้น
แต่มันเปิดถึงแค่ชั้น 5
ฉันอยู่ที่ชั้นสอง ในราคาแค่พันต้นๆ
สำหรับอพาร์ทเม้นกลางเมือง
จริงๆนะ นี่เป็นเรื่องจริง
ใครๆก็บอกว่าที่นี่มีผี
เพราะมันเคยเกิดไฟใหม้ที่ชั้นบน คนตายก็ค่อนข้างเยอะ
แต่ฉันก็ไม่เคยเจอผีที่ว่าสักที
ฉันอยู่ที่นี่อย่างสงบสุข จนกระทั่งวันนี้
ที่มันดูจะสงบสุขมากกว่าปกติ
นาฬิกาที่หัวเตียงหยุดนิ่ง
บางที่ถ่านมันอาจจะหมด หรือพังไปแล้วก็เป็นได้
ฉันค่อยๆลุกจากเตียงช้าๆ
ที่พักฉันเป็นอพาร์ทเม้นเก่าๆแห่งหนึ่ง
ฉันเลือกที่จะอยู่ที่นี่เพราะราคามันถูก
และห้องก็กว้างใช้ได้ทีเดียว
อีกอย่างมันเป็นอพาร์ทเม้นที่อยู่กลางเมือง
เดินทางได้สะดวก แต่ราคาถูกจนน่าใจหาย
ตึกที่ฉันอยู่สูงมาก มีทั้งหมด 25 ชั้น
แต่มันเปิดถึงแค่ชั้น 5
ฉันอยู่ที่ชั้นสอง ในราคาแค่พันต้นๆ
สำหรับอพาร์ทเม้นกลางเมือง
จริงๆนะ นี่เป็นเรื่องจริง
ใครๆก็บอกว่าที่นี่มีผี
เพราะมันเคยเกิดไฟใหม้ที่ชั้นบน คนตายก็ค่อนข้างเยอะ
แต่ฉันก็ไม่เคยเจอผีที่ว่าสักที
ฉันอยู่ที่นี่อย่างสงบสุข จนกระทั่งวันนี้
ที่มันดูจะสงบสุขมากกว่าปกติ
ปกติมันจะต้องมีเสียงรถวิ่ง
หรือไม่ก็ต้องมีเสียงทะเลาะกันของห้องข้างๆ
แต่วันนี้เงียบมาก
น่าแปลกที่ไม่ได้ยินเสียงรถวิ่งเลย
ในที่สุด ฉันก็ตัดสินใจเดินไปที่หน้าต่าง
แล้วชะโงกหน้าออกไปดูข้างๆตึกที่ติดกับถนนใหญ่
มันน่าแปลกมาก
ปกติถนนเส้นนี้จะมีรถวิ่งอยู่ตลอดเวลาเพราะมันอยู่
ใกล้กับมหาวิทยาลัย
แต่วันนี้ไม่มีรถเลยแม้แต่คันเดียว
บางทีมันอาจจะเกิดการปฏิวัติอะไรสักอย่าง
ฉันคิดในใจพร้อมกับตัดสินใจเดินออกมานอกห้อง
มันอาจจะเกิดขึ้นในตอนเช้า
และนี่มันบ่ายกว่าแล้ว
ฉันเลยไม่ได้รับรู้อะไร
อีกอย่างห้องที่ชั้นอยู่ก็ไม่มีโทรทัศน์เสียด้วย
ฉันเอาโทรทัศน์ไปขายทิ้ง
ตั้งแต่ฉันไม่มีเงินจ่ายค่าเคเบิ้ลทีวี
และในช่องฟรีทีวีก็มีแต่ละครน้ำเน่า
ที่ผู้หญิงเอาแต่ตบกันแย่งผู้ชาย
หรือไม่ก็ละครประเภทเมียหลวง-เมียน้อย
และรายการเปิดแผ่นป้ายสุดน่าเบื่อ
ที่มาพร้อมกับตลกมุกฝืดๆ
สิ่งเหล่านี้มันทำให้ฉันตัดสินใจเอาโทรทัศน์ไปขายซะ
แล้วเลือกอ่านข่าวสารจากในอินเทอร์เนตแทน
หรือไม่ก็ต้องมีเสียงทะเลาะกันของห้องข้างๆ
แต่วันนี้เงียบมาก
น่าแปลกที่ไม่ได้ยินเสียงรถวิ่งเลย
ในที่สุด ฉันก็ตัดสินใจเดินไปที่หน้าต่าง
แล้วชะโงกหน้าออกไปดูข้างๆตึกที่ติดกับถนนใหญ่
มันน่าแปลกมาก
ปกติถนนเส้นนี้จะมีรถวิ่งอยู่ตลอดเวลาเพราะมันอยู่
ใกล้กับมหาวิทยาลัย
แต่วันนี้ไม่มีรถเลยแม้แต่คันเดียว
http://www.pexels.com/photo/black-and-white-city-train-metal-6703/
บางทีมันอาจจะเกิดการปฏิวัติอะไรสักอย่าง
ฉันคิดในใจพร้อมกับตัดสินใจเดินออกมานอกห้อง
มันอาจจะเกิดขึ้นในตอนเช้า
และนี่มันบ่ายกว่าแล้ว
ฉันเลยไม่ได้รับรู้อะไร
อีกอย่างห้องที่ชั้นอยู่ก็ไม่มีโทรทัศน์เสียด้วย
ฉันเอาโทรทัศน์ไปขายทิ้ง
ตั้งแต่ฉันไม่มีเงินจ่ายค่าเคเบิ้ลทีวี
และในช่องฟรีทีวีก็มีแต่ละครน้ำเน่า
ที่ผู้หญิงเอาแต่ตบกันแย่งผู้ชาย
หรือไม่ก็ละครประเภทเมียหลวง-เมียน้อย
และรายการเปิดแผ่นป้ายสุดน่าเบื่อ
ที่มาพร้อมกับตลกมุกฝืดๆ
สิ่งเหล่านี้มันทำให้ฉันตัดสินใจเอาโทรทัศน์ไปขายซะ
แล้วเลือกอ่านข่าวสารจากในอินเทอร์เนตแทน
และนั่นคือเหตุผลที่ฉันตัดสินใจเดินออกมาข้างนอก
ตั้งใจว่าจะไปถามเพื่อนในที่ทำงาน
แต่เมือ่เดินออกมาข้างล่างตึก
ฉันก็ไม่พบใครซักคน
รปภ.ที่ตึกก็ไม่อยู่
ทั้งๆที่จะต้องมีคนอยู่เฝ้าป้อมยามเสมอ
บ้านข้างๆที่ปกติจะมีคนอยู่ก็ดูเงียบเชียบเหมือนบ้านร้าง
แม้แต่สุนัขที่พวกเค้าเลี้ยงไว้ก็ไม่มี
ฉันเดินมาตามทางที่ไร้ซึ่งผู้คน
จนเจอกับร้านสะดวกซื้อที่เปิด 24 ชม.
ฉันจึงเข้าไปเพื่อหาใครสักคน
แต่เมื่อเสียงกริ่งอัตโนมัติที่ติดประตูดังขึ้น
ฉันกลับไม่ได้ยินเสียงทักทายจากแคชเชียร์เหมือนปกติ
ฉันหันไปมองที่เคาเตอร์แคชเชียร์
มันไม่มีใครอยู่เลย และในร้านก็ไม่มีลูกค้าด้วย
ไฟยังคงส่องสว่าง แอร์คอนดิชันเนอร์ยังคงทำงาน ตู้ขายน้ำยังเปิดอยู่
ทุกอย่างเป็นปกติ แค่ไม่มีคนเท่านั้นเอง
ตั้งใจว่าจะไปถามเพื่อนในที่ทำงาน
แต่เมือ่เดินออกมาข้างล่างตึก
ฉันก็ไม่พบใครซักคน
รปภ.ที่ตึกก็ไม่อยู่
ทั้งๆที่จะต้องมีคนอยู่เฝ้าป้อมยามเสมอ
บ้านข้างๆที่ปกติจะมีคนอยู่ก็ดูเงียบเชียบเหมือนบ้านร้าง
แม้แต่สุนัขที่พวกเค้าเลี้ยงไว้ก็ไม่มี
ฉันเดินมาตามทางที่ไร้ซึ่งผู้คน
จนเจอกับร้านสะดวกซื้อที่เปิด 24 ชม.
ฉันจึงเข้าไปเพื่อหาใครสักคน
แต่เมื่อเสียงกริ่งอัตโนมัติที่ติดประตูดังขึ้น
ฉันกลับไม่ได้ยินเสียงทักทายจากแคชเชียร์เหมือนปกติ
ฉันหันไปมองที่เคาเตอร์แคชเชียร์
มันไม่มีใครอยู่เลย และในร้านก็ไม่มีลูกค้าด้วย
ไฟยังคงส่องสว่าง แอร์คอนดิชันเนอร์ยังคงทำงาน ตู้ขายน้ำยังเปิดอยู่
ทุกอย่างเป็นปกติ แค่ไม่มีคนเท่านั้นเอง
นี่มันเกิดอะไรขึ้น
นี่ฉันกำลังฝันไปหรือเปล่า
หรือคำขอของฉันได้กลายเป็นจริงขึ้นมาแล้ว
ฉันเคยคิดว่าถ้าโลกนี้ไม่มีคน คงน่าอยู่ขึ้นเยอะเลย
ฉันคนเดียวคงได้ครอบครองทุกอย่าง
เมื่อคิดได้ดังนั้น ฉันก็ลองเดินสำรวจดูทั่วๆ
มันไม่มีคนเลยจริงๆ
ฉันตัดสินใจกลับไปที่อพาร์ทเม้น แล้วขับรถออกมาข้างนอก
ไปที่ออฟฟิสที่ฉันทำงานอยู่
แล้วมันก็ไม่ต่างจากที่ฉันคิดเลย
ในออฟฟิสไม่มีใครสักคน
ไฟยังคงส่องสว่าง แอร์คอนดิชันเนอร์ยังคงเปิดอยู่เหมือนเมื่อวานที่ฉันเข้ามาทำงาน
สุดท้าย วันนั้นฉันจึงใช้เวลาทั้งวันเพื่อสำรวจสถานที่ต่างๆ
ฉันไปที่ห้างสรรพสินค้า
ซึ่งไม่มีคนเลย แต่ทุกอย่างยังเป็นปกติ
ร้านขายไก่ชื่อดังยังคงมีไก่อุ่นๆอยู่ในตู้
ฉันเลือกที่จะหยิบมันมากินนิดหน่อยด้วยความหิว
และเดินสำรวจห้างใหญ่ต่อ
น่าแปลกที่ในห้างไม่มีใครเลยทั้งๆที่ทุกอย่างเป็นปกติ
แล้วฉันก็นึกสนุกเดินไปที่ร้านเสื้อผ้าแบรนด์เนมที่ชาตินี้ฉันคงไม่มีปัญญาได้ใช้
หยิบชุดขึ้นมาลอง พร้อมกับหยิบกระเป๋ารุ่นออกใหม่ล่าสุดที่ใครๆก็อยากได้ออกมา
ทันทีที่ฉันเดินผ่านประตู
สัญญาณกันขโมยก็ส่งเสียงดัง
ฉันยืนรออยู่ตรงนั้นเพื่อหวังจะเจอรปภ.วิ่งเข้ามา
ใช่...ฉันรู้สึกอยากเจอใครสักคน
แต่ไม่มี
สุดท้ายฉันก็ตัดสินใจเดินออกมาให้พ้นจากรัศมีเครื่องกันขโมย
และหิ้วกระเป๋าใบเกือบแสนนั้นกลับห้อง
น่าแปลกจริงๆ...
ฉันกลับมาถึงที่พักตอนกลางคืน
และเหนื่อยเกินกว่าจะคิดอะไร เ
พราะได้สำรวจไปทั่วตัวเมืองทั้งวัน
สุดท้ายฉันก็หลับเป็นตาย
และคิดว่าเมื่อตื่นขึ้นมามันอาจเป็นแค่ความฝัน...
แต่มันกลับไม่ใช่
เมื่อฉันตื่นมา ฉันก็พบว่านาฬิกายังคงตายเหมือนเดิม
และกระเป๋าราคาเป็นแสนที่กำลังโด่งดัง
ยังคงวางอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้งของฉัน
ถนนยังเงียบสงบ
มันเกิดอะไรขึ้น....
ถ้าเป็นคนอื่นๆคงตั้งคำถาม
และพยายามหาคำตอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว
หรือไม่งั้นพวกเขาก็คงต้องเดือดร้อนกันบ้างแหละ...
แต่สำหรับฉันนั้นไม่เลย
ฉันไม่ได้รู้สึกอะไร ออกจะดีใจเสียด้วยซ้ำที่อยู่ดีๆคนก็หายไปหมดโลก
และฉันก็กลายเป็นเจ้าของโลกนี้เพียงคนเดียว
เมื่อคิดได้แบบนั้น
ฉันก็รีบตรงไปยังออฟฟิสทันที...
ออฟฟิสที่ไร้คน แต่ทุกอย่างยังปกติ....
ฉันหยิบกุญแจไขเข้าไปในห้องส่วนตัวของเจ้านาย
และหยิบกุญแจรถยนต์ซุปเปอร์คาร์ที่เจ้านายเก็บไว้ในลิ้นชัก...
ฉันอยากได้มันมานานแล้ว
และอีกอย่างฉันไม่รู้ว่าผู้คนจะกลับมาเมื่อไหร่
ขอยืมมาขับหน่อยคงไม่ผิดอะไรมั้ง
ฉันขับรถไปทั่ว ไปโรงแรมโก้หรู
และใช้ชีวิตอยู่ในนั้นสองสามวัน...
มันเป็นอะไรที่พิเศษมาก เมื่อทุกอย่างเป็นปกติ
สถานที่แต่ละแห่งยังเปิดทำการ แต่แค่ไม่มีคนอยู่เท่านั้นเอง
ฉันใช้ชีวิตอย่างหรูหรา
ในห้องครัวของภัตราคารใหญ่ก็มีอาหารที่เตรียมไว้เรียบร้อย
ซึ่งฉันสามารถไปหยิบมากินได้โดยไม่มีใครรู้เลย...
ฉันไปที่ห้างสรรพสินค้าและสามารถช้อปปิ้งได้โดยไม่ต้องจ่ายเงินซักบาท
ทุกอย่างเป็นของฉัน....
ฉันคิดว่าฉันกำลังเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลก
ฉันคือพระเจ้า...
และฉันก็ไม่ต้องการใครเลย
มันดีทีเดียวที่ไม่มีใครมาแย่งของๆฉัน
ฉันใช้ชีวิตอย่างหรูรา ฟู่ฟ่า มีความสุขกับการได้สัมผัสถึงชีวิตที่ฉันไม่เคยได้มี...
จนเวลาผ่านไปนาน...
นานเท่าไหร่ฉันก็จำไม่ได้
เพราะตั้งแต่ที่โลกนี้ไม่มีคน
ฉันก็ไม่เคยสนใจเรื่องเวลาอีก
วันหนึ่งฉันตื่นขึ้นมา พร้อมกับทำตัวตามปกติ
ตั้งใจว่าจะไปหาของกินในร้านดังๆ
และไปช้อปปิ้งซักนิดหน่อยเหมือนเดิม...
แต่ช่วงหลังนี้ ฉันยอมรับว่าฉันเริ่มเบื่อ...
และความเบื่อมันทำให้ฉันเริ่มสังเกตมากขึ้น...
สินค้าให้ห้าง เสื้อผ้า เครื่องประดับ
ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม...
ไม่มีของใหม่ วันแรกที่ฉันมามันเคยเป็นยังไง
วันนี้มันก็เป็นแบบนั้น...
ทุกอย่างยังคงอยู่ที่เดิม...
ถึงฉันจะเคยหยิบมันไป
แต่วันต่อมาทุกอย่างก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม
อาหารก็เหมือนเดิม
ภาพยนต์ในโรงหนังก็เหมือนเดิม
รอบฉายเคยเป็นเรื่องอะไรวันนี้มันก็ยังคงเป็นแบบนั้น...
แล้วฉันก็เริม่จดวัน...
100 วันที่ผ่านมา ทุกอย่างยังคงเป็นเหมือนเดิม...
ฉันหยิบอะไรออกไป วันต่อมามันก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม
โทรทัศน์ย้อนกลับมาฉายรายการเดิมที่มันเคยฉายไปแล้ว
เมื่อวาน วันก่อน หรือกระทั่งเดือนก่อน
ข่าวเช้าวันใหม่คือข่าวเดิม
ที่เมื่อวานก็เป็นเรื่องนี้ วันก่อนก็เป็นเรื่องนี้...
สิบวันก่อนก็เป็นเรื่องนี้
มันเหมือนเวลาหยุดนิ่ง
และการไม่มีอะไรใหม่ๆ ก็ทำให้ฉันเริ่มเกิดความเบื่อ...
โลกนี้ชักไม่น่าอยู่เสียแล้ว...
มันน่าเบื่อที่มีอะไรซ้ำๆซากๆ
และฉันก็เป็นเจ้าของทุกสิ่งทุกอย่าง...
มันทำฉันจะเป็นบ้า
ฉันรู้สึกหงุดหงิดและอยากไปให้พ้นจากโลกนี้...
นั่นเพราะฉันมีทุกอย่างแล้ว อะไรที่ฉันไม่เคยมี
ฉันก็มีมันได้ครอบครองมันหมดแล้ว...
ฉันเริ่มมองหาผู้คน...แต่มันไม่เจอ....
ฉันเริ่มเปลี่ยนไป
เมื่อเข้าใจว่าฉันกำลังอยู่บนโลกนี้คนเดียว
ในช่วงเวลาที่หยุดนิ่ง...
ทุกอย่างวนเวียนซ้ำซาก
ฉันเบื่อที่จะออกไปข้างนอกและเจออะไรเดิมๆ
จนในที่่สุด ฉันก็ตัดสินใจอยู่ที่ห้องเงียบๆคนเดียว
นานแสนนาน
ฉันไม่กิน ไม่นอน และไม่ขยับ...
แต่ฉันยังมีชีวิตอยู่..
ฉันไม่เคยตาย ไม่เคยแก่ และไม่เคยป่วย
ฉันคงยังมีชีวิตอยู่ดี และทุกอย่างก็ยังปกติเหมือนเดิม....
ฉันยังอยู่ที่เดิมในห้อง อีกนานแสนนนาน
นานจนฉันเริ่มคิดได้ว่า
บางทีมันถึงเวลาที่ต้องออกตามหาใครสักคน
ตามหาคำตอบ....
และความหวัง....
ใช่แล้ว....พอฉันคิดได้ดังนั้น...ฉันก็เริ่มกระตือรือร้นขึ้นมา...
ฉันรู้สึกว่าฉันมีชีวิต...
ฉันกำลังมีชีวิต...
และเริ่มมีสิ่งใหม่ให้ฉันค้นหา...
ฉันจะไปตามหาคน ไปตามหามนุษย์ที่สูญหายไป...
อาจจะอยู่ที่ไหนสักที...
และจะพาโลกใบเดิมของฉันกลับมา...
ฉันมีความหวัง และฉันก็ออกเดินทาง
นี่ฉันกำลังฝันไปหรือเปล่า
หรือคำขอของฉันได้กลายเป็นจริงขึ้นมาแล้ว
ฉันเคยคิดว่าถ้าโลกนี้ไม่มีคน คงน่าอยู่ขึ้นเยอะเลย
ฉันคนเดียวคงได้ครอบครองทุกอย่าง
เมื่อคิดได้ดังนั้น ฉันก็ลองเดินสำรวจดูทั่วๆ
มันไม่มีคนเลยจริงๆ
ฉันตัดสินใจกลับไปที่อพาร์ทเม้น แล้วขับรถออกมาข้างนอก
ไปที่ออฟฟิสที่ฉันทำงานอยู่
แล้วมันก็ไม่ต่างจากที่ฉันคิดเลย
ในออฟฟิสไม่มีใครสักคน
ไฟยังคงส่องสว่าง แอร์คอนดิชันเนอร์ยังคงเปิดอยู่เหมือนเมื่อวานที่ฉันเข้ามาทำงาน
สุดท้าย วันนั้นฉันจึงใช้เวลาทั้งวันเพื่อสำรวจสถานที่ต่างๆ
ฉันไปที่ห้างสรรพสินค้า
ซึ่งไม่มีคนเลย แต่ทุกอย่างยังเป็นปกติ
ร้านขายไก่ชื่อดังยังคงมีไก่อุ่นๆอยู่ในตู้
ฉันเลือกที่จะหยิบมันมากินนิดหน่อยด้วยความหิว
และเดินสำรวจห้างใหญ่ต่อ
น่าแปลกที่ในห้างไม่มีใครเลยทั้งๆที่ทุกอย่างเป็นปกติ
แล้วฉันก็นึกสนุกเดินไปที่ร้านเสื้อผ้าแบรนด์เนมที่ชาตินี้ฉันคงไม่มีปัญญาได้ใช้
หยิบชุดขึ้นมาลอง พร้อมกับหยิบกระเป๋ารุ่นออกใหม่ล่าสุดที่ใครๆก็อยากได้ออกมา
ทันทีที่ฉันเดินผ่านประตู
สัญญาณกันขโมยก็ส่งเสียงดัง
ฉันยืนรออยู่ตรงนั้นเพื่อหวังจะเจอรปภ.วิ่งเข้ามา
ใช่...ฉันรู้สึกอยากเจอใครสักคน
แต่ไม่มี
สุดท้ายฉันก็ตัดสินใจเดินออกมาให้พ้นจากรัศมีเครื่องกันขโมย
และหิ้วกระเป๋าใบเกือบแสนนั้นกลับห้อง
น่าแปลกจริงๆ...
ฉันกลับมาถึงที่พักตอนกลางคืน
และเหนื่อยเกินกว่าจะคิดอะไร เ
พราะได้สำรวจไปทั่วตัวเมืองทั้งวัน
สุดท้ายฉันก็หลับเป็นตาย
และคิดว่าเมื่อตื่นขึ้นมามันอาจเป็นแค่ความฝัน...
แต่มันกลับไม่ใช่
เมื่อฉันตื่นมา ฉันก็พบว่านาฬิกายังคงตายเหมือนเดิม
และกระเป๋าราคาเป็นแสนที่กำลังโด่งดัง
ยังคงวางอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้งของฉัน
ถนนยังเงียบสงบ
มันเกิดอะไรขึ้น....
ถ้าเป็นคนอื่นๆคงตั้งคำถาม
และพยายามหาคำตอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว
หรือไม่งั้นพวกเขาก็คงต้องเดือดร้อนกันบ้างแหละ...
แต่สำหรับฉันนั้นไม่เลย
ฉันไม่ได้รู้สึกอะไร ออกจะดีใจเสียด้วยซ้ำที่อยู่ดีๆคนก็หายไปหมดโลก
และฉันก็กลายเป็นเจ้าของโลกนี้เพียงคนเดียว
เมื่อคิดได้แบบนั้น
ฉันก็รีบตรงไปยังออฟฟิสทันที...
ออฟฟิสที่ไร้คน แต่ทุกอย่างยังปกติ....
ฉันหยิบกุญแจไขเข้าไปในห้องส่วนตัวของเจ้านาย
และหยิบกุญแจรถยนต์ซุปเปอร์คาร์ที่เจ้านายเก็บไว้ในลิ้นชัก...
ฉันอยากได้มันมานานแล้ว
และอีกอย่างฉันไม่รู้ว่าผู้คนจะกลับมาเมื่อไหร่
ขอยืมมาขับหน่อยคงไม่ผิดอะไรมั้ง
ฉันขับรถไปทั่ว ไปโรงแรมโก้หรู
และใช้ชีวิตอยู่ในนั้นสองสามวัน...
มันเป็นอะไรที่พิเศษมาก เมื่อทุกอย่างเป็นปกติ
สถานที่แต่ละแห่งยังเปิดทำการ แต่แค่ไม่มีคนอยู่เท่านั้นเอง
ฉันใช้ชีวิตอย่างหรูหรา
ในห้องครัวของภัตราคารใหญ่ก็มีอาหารที่เตรียมไว้เรียบร้อย
ซึ่งฉันสามารถไปหยิบมากินได้โดยไม่มีใครรู้เลย...
ฉันไปที่ห้างสรรพสินค้าและสามารถช้อปปิ้งได้โดยไม่ต้องจ่ายเงินซักบาท
ทุกอย่างเป็นของฉัน....
ฉันคิดว่าฉันกำลังเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลก
ฉันคือพระเจ้า...
และฉันก็ไม่ต้องการใครเลย
มันดีทีเดียวที่ไม่มีใครมาแย่งของๆฉัน
ฉันใช้ชีวิตอย่างหรูรา ฟู่ฟ่า มีความสุขกับการได้สัมผัสถึงชีวิตที่ฉันไม่เคยได้มี...
จนเวลาผ่านไปนาน...
นานเท่าไหร่ฉันก็จำไม่ได้
เพราะตั้งแต่ที่โลกนี้ไม่มีคน
ฉันก็ไม่เคยสนใจเรื่องเวลาอีก
วันหนึ่งฉันตื่นขึ้นมา พร้อมกับทำตัวตามปกติ
ตั้งใจว่าจะไปหาของกินในร้านดังๆ
และไปช้อปปิ้งซักนิดหน่อยเหมือนเดิม...
แต่ช่วงหลังนี้ ฉันยอมรับว่าฉันเริ่มเบื่อ...
และความเบื่อมันทำให้ฉันเริ่มสังเกตมากขึ้น...
สินค้าให้ห้าง เสื้อผ้า เครื่องประดับ
ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม...
ไม่มีของใหม่ วันแรกที่ฉันมามันเคยเป็นยังไง
วันนี้มันก็เป็นแบบนั้น...
ทุกอย่างยังคงอยู่ที่เดิม...
ถึงฉันจะเคยหยิบมันไป
แต่วันต่อมาทุกอย่างก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม
อาหารก็เหมือนเดิม
ภาพยนต์ในโรงหนังก็เหมือนเดิม
รอบฉายเคยเป็นเรื่องอะไรวันนี้มันก็ยังคงเป็นแบบนั้น...
แล้วฉันก็เริม่จดวัน...
100 วันที่ผ่านมา ทุกอย่างยังคงเป็นเหมือนเดิม...
ฉันหยิบอะไรออกไป วันต่อมามันก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม
โทรทัศน์ย้อนกลับมาฉายรายการเดิมที่มันเคยฉายไปแล้ว
เมื่อวาน วันก่อน หรือกระทั่งเดือนก่อน
ข่าวเช้าวันใหม่คือข่าวเดิม
ที่เมื่อวานก็เป็นเรื่องนี้ วันก่อนก็เป็นเรื่องนี้...
สิบวันก่อนก็เป็นเรื่องนี้
มันเหมือนเวลาหยุดนิ่ง
และการไม่มีอะไรใหม่ๆ ก็ทำให้ฉันเริ่มเกิดความเบื่อ...
โลกนี้ชักไม่น่าอยู่เสียแล้ว...
มันน่าเบื่อที่มีอะไรซ้ำๆซากๆ
และฉันก็เป็นเจ้าของทุกสิ่งทุกอย่าง...
มันทำฉันจะเป็นบ้า
ฉันรู้สึกหงุดหงิดและอยากไปให้พ้นจากโลกนี้...
นั่นเพราะฉันมีทุกอย่างแล้ว อะไรที่ฉันไม่เคยมี
ฉันก็มีมันได้ครอบครองมันหมดแล้ว...
ฉันเริ่มมองหาผู้คน...แต่มันไม่เจอ....
ฉันเริ่มเปลี่ยนไป
เมื่อเข้าใจว่าฉันกำลังอยู่บนโลกนี้คนเดียว
ในช่วงเวลาที่หยุดนิ่ง...
ทุกอย่างวนเวียนซ้ำซาก
ฉันเบื่อที่จะออกไปข้างนอกและเจออะไรเดิมๆ
จนในที่่สุด ฉันก็ตัดสินใจอยู่ที่ห้องเงียบๆคนเดียว
นานแสนนาน
ฉันไม่กิน ไม่นอน และไม่ขยับ...
แต่ฉันยังมีชีวิตอยู่..
ฉันไม่เคยตาย ไม่เคยแก่ และไม่เคยป่วย
ฉันคงยังมีชีวิตอยู่ดี และทุกอย่างก็ยังปกติเหมือนเดิม....
ฉันยังอยู่ที่เดิมในห้อง อีกนานแสนนนาน
นานจนฉันเริ่มคิดได้ว่า
บางทีมันถึงเวลาที่ต้องออกตามหาใครสักคน
ตามหาคำตอบ....
และความหวัง....
ใช่แล้ว....พอฉันคิดได้ดังนั้น...ฉันก็เริ่มกระตือรือร้นขึ้นมา...
ฉันรู้สึกว่าฉันมีชีวิต...
ฉันกำลังมีชีวิต...
และเริ่มมีสิ่งใหม่ให้ฉันค้นหา...
ฉันจะไปตามหาคน ไปตามหามนุษย์ที่สูญหายไป...
อาจจะอยู่ที่ไหนสักที...
และจะพาโลกใบเดิมของฉันกลับมา...
ฉันมีความหวัง และฉันก็ออกเดินทาง