ความหวัง (เรื่องสั้น)

วันนี้มาเขียนเรื่องสั้นค่ะ...
มันเกิดจากความคิดชั่วครู่ระยะหนึ่ง 
เลยมาเขียน....



        ฉันตื่นขึ้นมาในเช้าวันหนึ่ง....
ในวันที่ทุกอย่างดูเงียบสงบไปหมด
นาฬิกาที่หัวเตียงหยุดนิ่ง
บางที่ถ่านมันอาจจะหมด หรือพังไปแล้วก็เป็นได้
ฉันค่อยๆลุกจากเตียงช้าๆ
ที่พักฉันเป็นอพาร์ทเม้นเก่าๆแห่งหนึ่ง
ฉันเลือกที่จะอยู่ที่นี่เพราะราคามันถูก
และห้องก็กว้างใช้ได้ทีเดียว
อีกอย่างมันเป็นอพาร์ทเม้นที่อยู่กลางเมือง 
เดินทางได้สะดวก แต่ราคาถูกจนน่าใจหาย 
ตึกที่ฉันอยู่สูงมาก มีทั้งหมด 25 ชั้น 
แต่มันเปิดถึงแค่ชั้น 5 
ฉันอยู่ที่ชั้นสอง ในราคาแค่พันต้นๆ 
สำหรับอพาร์ทเม้นกลางเมือง 
จริงๆนะ นี่เป็นเรื่องจริง 
ใครๆก็บอกว่าที่นี่มีผี 
เพราะมันเคยเกิดไฟใหม้ที่ชั้นบน คนตายก็ค่อนข้างเยอะ 
แต่ฉันก็ไม่เคยเจอผีที่ว่าสักที 
ฉันอยู่ที่นี่อย่างสงบสุข จนกระทั่งวันนี้ 
ที่มันดูจะสงบสุขมากกว่าปกติ

ปกติมันจะต้องมีเสียงรถวิ่ง 
หรือไม่ก็ต้องมีเสียงทะเลาะกันของห้องข้างๆ
แต่วันนี้เงียบมาก
น่าแปลกที่ไม่ได้ยินเสียงรถวิ่งเลย
ในที่สุด ฉันก็ตัดสินใจเดินไปที่หน้าต่าง
แล้วชะโงกหน้าออกไปดูข้างๆตึกที่ติดกับถนนใหญ่
มันน่าแปลกมาก 
ปกติถนนเส้นนี้จะมีรถวิ่งอยู่ตลอดเวลาเพราะมันอยู่
ใกล้กับมหาวิทยาลัย
แต่วันนี้ไม่มีรถเลยแม้แต่คันเดียว


http://www.pexels.com/photo/black-and-white-city-train-metal-6703/


บางทีมันอาจจะเกิดการปฏิวัติอะไรสักอย่าง
ฉันคิดในใจพร้อมกับตัดสินใจเดินออกมานอกห้อง
มันอาจจะเกิดขึ้นในตอนเช้า
และนี่มันบ่ายกว่าแล้ว
ฉันเลยไม่ได้รับรู้อะไร
อีกอย่างห้องที่ชั้นอยู่ก็ไม่มีโทรทัศน์เสียด้วย
ฉันเอาโทรทัศน์ไปขายทิ้ง
ตั้งแต่ฉันไม่มีเงินจ่ายค่าเคเบิ้ลทีวี
และในช่องฟรีทีวีก็มีแต่ละครน้ำเน่า
ที่ผู้หญิงเอาแต่ตบกันแย่งผู้ชาย
หรือไม่ก็ละครประเภทเมียหลวง-เมียน้อย
และรายการเปิดแผ่นป้ายสุดน่าเบื่อ
ที่มาพร้อมกับตลกมุกฝืดๆ
สิ่งเหล่านี้มันทำให้ฉันตัดสินใจเอาโทรทัศน์ไปขายซะ
แล้วเลือกอ่านข่าวสารจากในอินเทอร์เนตแทน

และนั่นคือเหตุผลที่ฉันตัดสินใจเดินออกมาข้างนอก
ตั้งใจว่าจะไปถามเพื่อนในที่ทำงาน
แต่เมือ่เดินออกมาข้างล่างตึก
ฉันก็ไม่พบใครซักคน
รปภ.ที่ตึกก็ไม่อยู่
ทั้งๆที่จะต้องมีคนอยู่เฝ้าป้อมยามเสมอ
บ้านข้างๆที่ปกติจะมีคนอยู่ก็ดูเงียบเชียบเหมือนบ้านร้าง
แม้แต่สุนัขที่พวกเค้าเลี้ยงไว้ก็ไม่มี
ฉันเดินมาตามทางที่ไร้ซึ่งผู้คน
จนเจอกับร้านสะดวกซื้อที่เปิด 24 ชม.


ฉันจึงเข้าไปเพื่อหาใครสักคน
แต่เมื่อเสียงกริ่งอัตโนมัติที่ติดประตูดังขึ้น
ฉันกลับไม่ได้ยินเสียงทักทายจากแคชเชียร์เหมือนปกติ
ฉันหันไปมองที่เคาเตอร์แคชเชียร์
มันไม่มีใครอยู่เลย และในร้านก็ไม่มีลูกค้าด้วย
ไฟยังคงส่องสว่าง แอร์คอนดิชันเนอร์ยังคงทำงาน ตู้ขายน้ำยังเปิดอยู่
ทุกอย่างเป็นปกติ แค่ไม่มีคนเท่านั้นเอง

นี่มันเกิดอะไรขึ้น
นี่ฉันกำลังฝันไปหรือเปล่า
หรือคำขอของฉันได้กลายเป็นจริงขึ้นมาแล้ว
ฉันเคยคิดว่าถ้าโลกนี้ไม่มีคน คงน่าอยู่ขึ้นเยอะเลย
ฉันคนเดียวคงได้ครอบครองทุกอย่าง
เมื่อคิดได้ดังนั้น ฉันก็ลองเดินสำรวจดูทั่วๆ
มันไม่มีคนเลยจริงๆ
ฉันตัดสินใจกลับไปที่อพาร์ทเม้น แล้วขับรถออกมาข้างนอก
ไปที่ออฟฟิสที่ฉันทำงานอยู่
แล้วมันก็ไม่ต่างจากที่ฉันคิดเลย
ในออฟฟิสไม่มีใครสักคน
ไฟยังคงส่องสว่าง แอร์คอนดิชันเนอร์ยังคงเปิดอยู่เหมือนเมื่อวานที่ฉันเข้ามาทำงาน

สุดท้าย วันนั้นฉันจึงใช้เวลาทั้งวันเพื่อสำรวจสถานที่ต่างๆ
ฉันไปที่ห้างสรรพสินค้า
ซึ่งไม่มีคนเลย แต่ทุกอย่างยังเป็นปกติ
ร้านขายไก่ชื่อดังยังคงมีไก่อุ่นๆอยู่ในตู้
ฉันเลือกที่จะหยิบมันมากินนิดหน่อยด้วยความหิว
และเดินสำรวจห้างใหญ่ต่อ
น่าแปลกที่ในห้างไม่มีใครเลยทั้งๆที่ทุกอย่างเป็นปกติ
แล้วฉันก็นึกสนุกเดินไปที่ร้านเสื้อผ้าแบรนด์เนมที่ชาตินี้ฉันคงไม่มีปัญญาได้ใช้
หยิบชุดขึ้นมาลอง พร้อมกับหยิบกระเป๋ารุ่นออกใหม่ล่าสุดที่ใครๆก็อยากได้ออกมา
ทันทีที่ฉันเดินผ่านประตู
สัญญาณกันขโมยก็ส่งเสียงดัง
ฉันยืนรออยู่ตรงนั้นเพื่อหวังจะเจอรปภ.วิ่งเข้ามา
ใช่...ฉันรู้สึกอยากเจอใครสักคน
แต่ไม่มี
สุดท้ายฉันก็ตัดสินใจเดินออกมาให้พ้นจากรัศมีเครื่องกันขโมย
และหิ้วกระเป๋าใบเกือบแสนนั้นกลับห้อง
น่าแปลกจริงๆ...

ฉันกลับมาถึงที่พักตอนกลางคืน
และเหนื่อยเกินกว่าจะคิดอะไร เ
พราะได้สำรวจไปทั่วตัวเมืองทั้งวัน
สุดท้ายฉันก็หลับเป็นตาย
และคิดว่าเมื่อตื่นขึ้นมามันอาจเป็นแค่ความฝัน...

แต่มันกลับไม่ใช่
เมื่อฉันตื่นมา ฉันก็พบว่านาฬิกายังคงตายเหมือนเดิม
และกระเป๋าราคาเป็นแสนที่กำลังโด่งดัง
ยังคงวางอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้งของฉัน
ถนนยังเงียบสงบ
มันเกิดอะไรขึ้น....
ถ้าเป็นคนอื่นๆคงตั้งคำถาม
และพยายามหาคำตอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว
หรือไม่งั้นพวกเขาก็คงต้องเดือดร้อนกันบ้างแหละ...
แต่สำหรับฉันนั้นไม่เลย
ฉันไม่ได้รู้สึกอะไร ออกจะดีใจเสียด้วยซ้ำที่อยู่ดีๆคนก็หายไปหมดโลก
และฉันก็กลายเป็นเจ้าของโลกนี้เพียงคนเดียว
เมื่อคิดได้แบบนั้น
ฉันก็รีบตรงไปยังออฟฟิสทันที...
ออฟฟิสที่ไร้คน แต่ทุกอย่างยังปกติ....
ฉันหยิบกุญแจไขเข้าไปในห้องส่วนตัวของเจ้านาย
และหยิบกุญแจรถยนต์ซุปเปอร์คาร์ที่เจ้านายเก็บไว้ในลิ้นชัก...
ฉันอยากได้มันมานานแล้ว
และอีกอย่างฉันไม่รู้ว่าผู้คนจะกลับมาเมื่อไหร่
ขอยืมมาขับหน่อยคงไม่ผิดอะไรมั้ง

ฉันขับรถไปทั่ว ไปโรงแรมโก้หรู
และใช้ชีวิตอยู่ในนั้นสองสามวัน...
มันเป็นอะไรที่พิเศษมาก เมื่อทุกอย่างเป็นปกติ
สถานที่แต่ละแห่งยังเปิดทำการ แต่แค่ไม่มีคนอยู่เท่านั้นเอง
ฉันใช้ชีวิตอย่างหรูหรา
ในห้องครัวของภัตราคารใหญ่ก็มีอาหารที่เตรียมไว้เรียบร้อย
ซึ่งฉันสามารถไปหยิบมากินได้โดยไม่มีใครรู้เลย...
ฉันไปที่ห้างสรรพสินค้าและสามารถช้อปปิ้งได้โดยไม่ต้องจ่ายเงินซักบาท
ทุกอย่างเป็นของฉัน....
ฉันคิดว่าฉันกำลังเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลก
ฉันคือพระเจ้า...
และฉันก็ไม่ต้องการใครเลย 
มันดีทีเดียวที่ไม่มีใครมาแย่งของๆฉัน
ฉันใช้ชีวิตอย่างหรูรา ฟู่ฟ่า มีความสุขกับการได้สัมผัสถึงชีวิตที่ฉันไม่เคยได้มี...

จนเวลาผ่านไปนาน...
นานเท่าไหร่ฉันก็จำไม่ได้
เพราะตั้งแต่ที่โลกนี้ไม่มีคน
ฉันก็ไม่เคยสนใจเรื่องเวลาอีก

วันหนึ่งฉันตื่นขึ้นมา พร้อมกับทำตัวตามปกติ
ตั้งใจว่าจะไปหาของกินในร้านดังๆ
และไปช้อปปิ้งซักนิดหน่อยเหมือนเดิม...
แต่ช่วงหลังนี้ ฉันยอมรับว่าฉันเริ่มเบื่อ...
และความเบื่อมันทำให้ฉันเริ่มสังเกตมากขึ้น...
สินค้าให้ห้าง เสื้อผ้า เครื่องประดับ
ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม...
ไม่มีของใหม่ วันแรกที่ฉันมามันเคยเป็นยังไง
วันนี้มันก็เป็นแบบนั้น...
ทุกอย่างยังคงอยู่ที่เดิม...
ถึงฉันจะเคยหยิบมันไป
แต่วันต่อมาทุกอย่างก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม
อาหารก็เหมือนเดิม
ภาพยนต์ในโรงหนังก็เหมือนเดิม
รอบฉายเคยเป็นเรื่องอะไรวันนี้มันก็ยังคงเป็นแบบนั้น...
แล้วฉันก็เริม่จดวัน...

100 วันที่ผ่านมา ทุกอย่างยังคงเป็นเหมือนเดิม...
ฉันหยิบอะไรออกไป วันต่อมามันก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม
โทรทัศน์ย้อนกลับมาฉายรายการเดิมที่มันเคยฉายไปแล้ว
เมื่อวาน วันก่อน หรือกระทั่งเดือนก่อน
ข่าวเช้าวันใหม่คือข่าวเดิม
ที่เมื่อวานก็เป็นเรื่องนี้ วันก่อนก็เป็นเรื่องนี้...
สิบวันก่อนก็เป็นเรื่องนี้

มันเหมือนเวลาหยุดนิ่ง
และการไม่มีอะไรใหม่ๆ ก็ทำให้ฉันเริ่มเกิดความเบื่อ...
โลกนี้ชักไม่น่าอยู่เสียแล้ว...
มันน่าเบื่อที่มีอะไรซ้ำๆซากๆ
และฉันก็เป็นเจ้าของทุกสิ่งทุกอย่าง...
มันทำฉันจะเป็นบ้า
ฉันรู้สึกหงุดหงิดและอยากไปให้พ้นจากโลกนี้...
นั่นเพราะฉันมีทุกอย่างแล้ว อะไรที่ฉันไม่เคยมี 
ฉันก็มีมันได้ครอบครองมันหมดแล้ว...
ฉันเริ่มมองหาผู้คน...แต่มันไม่เจอ....

ฉันเริ่มเปลี่ยนไป
เมื่อเข้าใจว่าฉันกำลังอยู่บนโลกนี้คนเดียว
ในช่วงเวลาที่หยุดนิ่ง...
ทุกอย่างวนเวียนซ้ำซาก
ฉันเบื่อที่จะออกไปข้างนอกและเจออะไรเดิมๆ
จนในที่่สุด ฉันก็ตัดสินใจอยู่ที่ห้องเงียบๆคนเดียว
นานแสนนาน
ฉันไม่กิน ไม่นอน และไม่ขยับ...
แต่ฉันยังมีชีวิตอยู่..
ฉันไม่เคยตาย ไม่เคยแก่ และไม่เคยป่วย
ฉันคงยังมีชีวิตอยู่ดี และทุกอย่างก็ยังปกติเหมือนเดิม....

ฉันยังอยู่ที่เดิมในห้อง อีกนานแสนนนาน
นานจนฉันเริ่มคิดได้ว่า
บางทีมันถึงเวลาที่ต้องออกตามหาใครสักคน
ตามหาคำตอบ....
และความหวัง....

ใช่แล้ว....พอฉันคิดได้ดังนั้น...ฉันก็เริ่มกระตือรือร้นขึ้นมา...
ฉันรู้สึกว่าฉันมีชีวิต...
ฉันกำลังมีชีวิต...
และเริ่มมีสิ่งใหม่ให้ฉันค้นหา...
ฉันจะไปตามหาคน ไปตามหามนุษย์ที่สูญหายไป...
อาจจะอยู่ที่ไหนสักที...
และจะพาโลกใบเดิมของฉันกลับมา...

ฉันมีความหวัง และฉันก็ออกเดินทาง

เสียดาย คนตายไม่ได้เล่า 5 : โรงแรมผีนครสวรรค์



มาแล้วค่า....
วันนี้จะเล่าเกี่ยวกับ ผีที่เจอที่โรงแรมในจ.นครสวรรค์นะคะ
ไม่แน่ใจว่าโรงแรมนี้ปิดไปแล้วหรือยัง.....
และที่สำคัญ...
หลิวจำชื่อโรงแรมไม่ได้แล้วค่ะ
จำได้แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น


เรื่องมันเกิดขึ้นในช่วงวันหยุดยาว ปีใหม่
ครอบครัวหลิวขับรถเดินทางจากเชียงใหม่ไปกทม.
ตอนประมาณใกล้เที่ยงคืน ถึงนครสวรรค์
ก็เลยพักที่นั่นก่อน
แต่เพราะว่าเป็นช่วงเทศกาล
โรงแรมไหนก็ไม่ว่างเลยค่ะ

จนมาเจอโรงแรมหนึ่ง
ไม่ใหญ่มาก ด้านล่างเหมือนเป็นร้านอาหาร...มีบาร์ด้วย
ก็จองไปห้องนึง
บอกเลยว่าโรงแรมเงียบและมืดมาก แทบจะไม่มีคนเลยด้วยซ้ำ

พอขึ้นลิฟเท่านั้นแหละ
น้องสาวหลิวโวยวาย
บอกว่าไม่อยากพักที่นี่ เค้ารู้สึกไม่ดี
จริงๆ ตอนนั้นหลิวก็รู้สึกนะ
แต่สำหรับหลิว หลิวว่าไม่แปลก

แต่น้องหลิวนี่เป็นคนแทบไม่เคยเจอเลย
อยู่ดีดีก็ไม่อยากพักที่นี่ซะงั้น
ถึงขั้นบอกว่ายอมนอนที่รถเลย

แต่สุดท้ายไม่มีใครอนุญาติค่ะ
นางเลยจำเป็นต้องนอนที่นี่

ห้องที่จองเป็นเตียงเดี่ยวสองเตียง
พ่อแม่นอนบนเตียง
หลิวกับน้องนอนข้างล่างค่ะ

ไปถึงก็อาบน้ำนอนกันหมดเลย
น่าจะผ่านไปไม่เกิน 2 ชม.
อยู่ๆ หลิวก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา
เหมือนกับว่านอนไม่หลับน่ะค่ะ

ตื่นมานั่งสักพัก
ตาเริ่มจะปรับและชินกับความมืด
เลยมองไปที่เตียงที่พ่อนอนอยู่ค่ะ
ที่นี้ งานเข้าเลย
เห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่ง นั่งอยู่
ดูผอมโซมากๆ ไม่ใส่เสื้อ ใส่แต่กางเกงเก่าๆ ไม่มีรองเท้า

เค้านั่งอยู่ที่ปลายเท้าพ่อหลิวค่ะ
ยกมือพนมแล้วก้มไหว้ ก้มไหว้
อยู่ตรงปลายเท้าพ่อหลิวตลอดเวลาเลย

น่าสงสารมาก
คือตัวเค้าดำทะมึนแล้วผอมโซแบบเห็นซี่โครงเลยน่ะค่ะ
ก้มไหว้ ก้มไหว้ ไม่ยอมหยุดเลย

ตอนนั้นหลิวรู้ว่า โอเค เราบังเอิญไปเห็นเค้าเองแน่ๆ
โชคดีที่เค้าไม่ทันรู้ตัว
หลิวเลยต้องแกล้งเนียนลงไปนอนเหมือนเดิม
ถ้าเค้ารู้ว่าเราเห็นเดี๋ยวจะซวย

ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น..
แต่จริงๆแล้วนอนไม่หลับค่ะ

ก็นอนอย่างนั้นจนเช้า...
เผลอหลับไปเอง...
ตื่นมานี่รีบเช็คเอ้าท์ออกเลยค่ะ


มาถึงรถ
พ่อบอกว่า ต้องหาที่พักนครสวรรค์อีกวัน
เพราะว่าเมื่อคืนไม่ได้นอนค่ะ
หลิวก็ถามว่าทำไม
พ่อบอกเมื่อคืน
อยู่ดีดีก็ปวดเท้า เหมือนมีคนมานั่งทับ
ตื่นมาดู
เห็นเด็กผู้ชาย ผอมๆ..
นั่งไหว้อยู่ตรงปลายเท้า
เลยไม่กล้าทำอะไรเลย
นอนไม่หลับเลย...

คือเห็นคนเดียวกับที่หลิวเห็นเลยนะค่ะ
แล้วน้องหลิวก็บอกว่า
ที่จะโวยวายกลับก็เพราะแบบนั้นแหละ

ตอนขึ้นลิฟมา
มีผู้หญิงคนนึงขึ้นมาด้วย...
ดีที่เค้าเข้ามาในลิฟไม่ได้ ไม่รู้ทำไม
กลัวมาก....
สรุป  คืนนั้นเจอหนักกันหมดค่ะ
ยกเว้นแม่หลิวคนเดียวที่ไม่เจออะไร

คือเรียกว่าเข็ดกันเลยค่ะ
แบบว่าจากนั้นมา ไม่กล้าไปนอนที่ไหนแบบนั้นอีกเลย

หลังจากวันนั้น...
ก็ไปเล่าให้เพื่อนฟัง
เพราะเพื่อนเป็นคนนครสวรรค์น่ะค่ะ
หลิวก็จำโรงแรมไม่ได้

จำได้แค่ตามที่เล่าไปน่ะค่ะ
แต่เพื่อนบอกว่า น่าจะเป็นโรงแรมนึง
เคยเป็นข่าวดังมาก แล้วเค้าก็เล่าว่าที่นี่เฮี้ยนด้วย
เพราะมีวัยรุ่นฆ่ากันตาย
อายุประมาณ 15-17 นี่แหละค่ะ

ซึ่งหลิวว่าน่าจะใช่เด็กคนนั้น
หลิวคิดว่าการที่เค้าต้องทำอย่างนั้นเพราะเค้ามาขอส่วนบุญน่ะค่ะ
ตายก่อนหมดอายุขัย
ไปไหนก็ไม่ได้
รูปร่างเลยผอมโซ อดอยาก
คงเพราะไม่มีใครทำบุญให้
น่าสงสารมากค่ะ...

เป็นอีกวิญญาณหนึ่งที่เจอ...
ถ้าเค้าฆ่ากันตายจริง จะว่าตายโหงก็น่าจะใช่นะคะ
วิญญาณตนนี้ มาอารมณ์เดียวกับที่เพชรบูรณ์
แต่ของเพชรบูรณ์ พอสัมผัสได้ว่าบาปเค้าไม่ได้หนักมาก....
เค้าแค่ตายเพราะอุบัติเหตุ
และรูปร่างเค้าไม่ได้ดูแย่อะไรขนาดนั้น

แต่กับเด็กวัยรุ่นคนนี้รู้เลยว่า
บาปเค้าคงจะหนักมากเหมือนกันค่ะ
เค้าดูทรมานมาก
ลองคิดดูสภาพวิญญาณที่ต้องก้มไหว ก้มไหว้ทั้งคืนเพื่อขอบุญ
เหมือนเค้าสิ้นหนทางแล้วจริงๆ

และหลิวคิดว่าโรงแรมนี้ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ
คนไปพักอาจจะไม่มีด้วย..
แบบนั้นเค้ายิ่งขอบุญจากใครไม่ได้เลย

จะสื่อกับคนก็นับว่ายากแล้ว
เค้าถึงผอมโซขนาดนั้นน่ะค่ะ

อยากให้เรื่องนี้เป็นเรื่องเตือนใจ สำหรับทุกๆคนน่ะค่ะ
หลิวไม่รู้ว่าเด็กคนนั้นเค้าทำอะไรไว้ก่อนตาย
ถึงได้ติดอยู่แบบนั้น....

วิญญาณไม่สามารถสร้างบุญเองได้นะคะ
ถ้าเรายังทำได้ ก็ทำไปเถอะค่ะ
ทำอะไรอยากให้มีสติ อย่าใช้อารมณ์ชั่ววูบ
เราไม่รู้ว่าโลกหลังความตายมีจริงมั้ย

แต่ถ้าตายแล้วต้องเป็นแบบนั้น
หลิวบอกเลยว่าเป็นอะไรที่ทรมานมาก

หลิวเห็นยังหดหู่แทนเลยค่ะ
ปกติกับวิญญาณบางตน เราทำบุญให้
เราจะรู้ว่าคงพอช่วยเค้าได้

แต่กับวิญญาณเด็กคนนี้...
มันรู้สึกว่าช่วยได้น้อยมากเลยค่ะ...
หลิวไม่รู้เลยว่ากรรมอะไร ที่ตามเค้าหนักขนาดนั้น...
แต่สุดท้ายเราก็ทำดีที่สุดแล้วค่ะ
เค้าก็ต้องใช้กรรมของเค้าต่อไป...

สุดท้ายฝากไว้เท่านี้นะคะ...
ทำอะไร ไม่อยากให้ใช้อารมณ์ชั่ววูบ...
แล้วหลิวหวังว่าเรื่องที่หลิวเล่า
จะช่วยเป็นอุทาหรณ์ ให้กับวัยรุ่นคนอื่นๆ...

วัยรุ่นใจร้อนค่ะ เราใช้อารมณ์ชั่ววูบ
แต่ถ้าหากเรามีอารมร์นั้น อย่าลืมคิดถึงเด็กผู้ชายคนนี้นะคะ...

หลิวเชื่อว่า การนึกถึงเค้าเป็นอุทาหรณ์
ไม่เพียงแต่จะช่วยให้เราระงับสติอารมณ์ได้
แต่ยังจะเป็นอานิสงค์ให้กับเด็กคนนั้นด้วยค่ะ
เค้าจะได้หมดเวรหมดกรรมไวไว
เพราะเรื่องราวของเค้าเป็นอุทาหรณ์และเตือนสติให้กับผู้อื่นด้วยค่ะ
ก็เป็นบุญของเค้าไปในตัว


.....
ตอนที่ 6 ...จะเป็นเรื่องผีตายโหงนะคะ วิญญาณที่เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน...
คนที่ตายเพราะแบบนี้ เค้าจะเป็นยังไง
ติดตามได้ในตอนหน้านะคะ

จะอัพวันไหน จะแจ้งอัพเดตที่เพจ โลกสวยไปวันวันนะคะ



++++ช่วงตอบคำถาม++++
พอดีมีคำถามเข้ามาค่ะ
ถ้าเราทำบุญ แต่ปรากฏว่าคนที่เราทำบุญด้วยเป็นพระปลอม คนที่เราทำบุญให้จะได้บุญมั้ย

อันที่จริง หลิวเป็นคนไม่มีความรู้ในเรื่องนี้นะคะ
ตามหลักศาสนาหลิวเลยไม่รู้ว่ายังไง
แต่ถ้าตามประสบการณ์
เวลาเราทำบุญให้ใครน่ะค่ะ  เค้าจะได้รับบุญหรือไม่ได้รับ
มันอยู่ที่ใจของคนทำค่ะ
ถ้าใจเราให้ ไม่ว่าเราจะทำที่วัด ทำกับพระปลอม พระจริง
หรือไม่ต้องไปที่วัดเลยก็ได้ แค่อนุโมทนา แผ่เมตตาอยู่ที่บ้าน เค้าก็ดายค่ะ
ได้บุญไม่ได้บุญ อยู่ที่ใจของผู้ให้ล้วนๆ เลยค่ะ
ส่วนพระปลอม หรือการทำบุญปลอม เงินที่เค้าเอาจากเราไปและไม่ได้เอาไปทำบุญจริง
คนหลอกลวง มิจฉาชีพพวกนี้ กรรมจะตกกับเค้าเองค่ะ

บุญกับกรรมมันจะแยกกันค่ะ
บุญคือบุญ กรรมคือกรรม
เราทำกรรมไว้ ไม่มีบุญไหนมาลบล้างได้ค่ะ
นอกเสียจากว่าเจ้ากรรมนายเวรเค้าอโหสิให้เราเองน่ะค่ะ

เพราะฉะนั้น ถ้าเราอยากทำบุญ ทำไปเลยค่ะ
ไม่ต้องสนใจว่าหลอกลวง มิจฉาชีพ หรืออะไร
อยู่ที่ใจเราล้วนๆค่ะ ส่วนใครที่หาประโยชน์จากเรื่องนี้ กรรมจะตกที่ตัวเค้าเองค่ะ

คำตอบนี้มาจากประสบการณ์นะคะ ...
ไม่อยากให้เชื่อทั้งหมด แต่ให้มองเป็นการแสดงความคิดเห็นมากกว่าค่ะ
เพระาโดยส่วนตัวหลิวไม่ใช่คนที่จะเรียกว่า พุทธศาสนิกชนที่ดีสักเท่าไหร่

เข้าวัดน้อยมาก ถึงมากที่สุดค่ะ
ประมาณเจอผีที เข้าไปทำบุญทีนึงค่ะ

มีอะไรถามไว้ได้นะคะ...ถ้าตอบได้จะตอบค่ะ
แต่ไม่อยากให้คิดว่า คำตอบหลิวจะเป็นคำตอบที่ถูกต้อง...
แค่อยากให้คิดว่า เป็นเรื่องเล่าจากมุมมองของคนๆหนึ่งแค่นั้นพอค่ะ
















[Sci-Fi] เรื่องสั้น แนวไร้สาระ จริงๆ นะ เรื่อง "ต้นพยอม"

วันนี้แวะมาอัพเรื่องสั้นค่ะ
โจทย์ก็คือ
ไม้ต้นขนาดใหญ่ สูงประมาณ 15-30 เมตร เปลือกต้นสีเทาเข้มแตกเป็นร่อง มีเนื้อไม้แข็งสีเหลืองอ่อนแกมเขียว ใบเป็นใบเดี่ยว ออกสลับ รูปขอบขนานหรือรูปมนรี ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ขอบใบเรียบไม่มีจัก ด้านหลังของใบจะมองเห็นเส้นขนานใบนูนได้ชัด

ต้องมีประโยคนี้...อยู่ในเรื่องสั้น....

ด้วยความชอบส่วนตัว...
และความบันเทิงในการเขียน (ของตัวเอง)..

เลยเขียนแนวนี้
แถมมี ภาค 2 ด้วย ....555

ลองอ่านดูนะคะ

Sci_Fi_Aircraft_155754.jpg

ไม้ต้นขนาดใหญ่ สูงประมาณ 15-30 เมตร เปลือกต้นสีเทาเข้มแตกเป็นร่อง มีเนื้อไม้แข็งสีเหลืองอ่อนแกมเขียว ใบเป็นใบเดี่ยว ออกสลับ รูปขอบขนานหรือรูปมนรี ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ขอบใบเรียบไม่มีจัก ด้านหลังของใบจะมองเห็นเส้นขนานใบนูนได้ชัด

พอๆๆ..ควาร์ก
ฉันเห็นข้อมูลที่ขึ้นบนจอหมดแล้ว
นั่นแหละต้นพยอม ขับยานลงไปได้เลย 
หญิงสาวผมเงินพูดพร้อมกับหันไปมองใบหน้าขาวของควาร์กผู้เป็นคู่หมั้นของเธอ
ชายหนุ่มผู้มีนัยต์ตาสีแดงส่งยิ้มยียวนมาให้
พร้อมกับเสียงหัวเราะที่เขากวนประสาทเธอได้สำเร็จ


  “ฉันคิดว่าเธอจะลืมต้นไม้ต้นนี้ไปซะแล้ว เลดี้”
ควาร์กว่าพร้อมกับค่อยๆขับยานลงจอดบนพื้นอย่างช้าๆ



“ต้นพยอมจัดเป็นต้นไม้หวงห้ามประเภท ก ของกรมป่าไม้
และเป็นไม้อนุรักษ์ในโครงการพันธุ์ไม้หายาก
ในพระอุปถัมภ์ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี 
เอฬิณา!!! ตื่นได้แล้ว”


 “คะ อะไรนะ
อ๋อ!เรากำลังเรียนเรื่องต้นพยอมอยู่ค่ะ”
สาวน้อยตากลมสะดุ้งขึ้นมาด้วยความตกใจ
พร้อมพูดออกไปมั่วๆ
เรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนทั้งห้องที่กำลังเหงาหลับอยู่ไปทั่ว

“หลับในห้องเรียน เป็นตัวอย่างที่ไม่ดี
ออกไปยืนหน้าห้องเดี๋ยวนี้ เอฬิณา”


“อาจารย์ขา หนูผิดไปแล้ว”
หญิงสาวตัวเล็กทำหน้าหงอย
แต่เธอก็ยินยอมเดินออกไปยืนหน้าห้องแต่โดยดี
อย่างน้อยก็ดีกว่านั่งเรียนล่ะนะ หญิงสาวแอบคิดในใจ


“เอาไม้บรรทัดไปคาบพร้อมกับยืนขาเดียวด้วย”
อาจารย์ว่าพร้อมกับยื่นไม้บรรทัดให้เธอ

  “นี่มันมหาลัยแล้วนะคะ และหนูก็อายุยี่สิบแล้ว
แบบนี้อายเค้าตายเลย” เอฬิณาว่าพร้อมทำหน้าหงอยๆ

“ทุกๆคน เอฬิณามีคติประจำตัว
ในวันที่แนะนำตัวกับเราวันแรกว่าไงนะ”


“สวย น่ารัก ทำอะไรก็ได้ไม่อายใคร
ถ้าไม่ทำให้ใครเดือดร้อน กลัวอะไร เพราะฉันไม่แคร์สื่อ”
เพื่อนยี่สิบกว่าคนในห้องเรียนพูดพร้อมกัน
ทำให้เอฬิณาต้องจำยอมไปยืนหน้าห้อง
เธอไม่อยากผิดคำพูดที่ใช้เป็นคติประจำตัวเธอ
ถึงแม้มันจะชอบสร้างความเดือดร้อนให้เธอก็เถอะ
อย่างน้อยก็แค่อายล่ะน่า เอฬิณาคิดในใจแล้วเดินออกไป


เปลือกพะยอมใช้ใส่เครื่องหมักดองเพื่อกันบูด
ใช้รับประทานแทนหมากได้ แถมยังฟอกหนังได้ด้วย!!
ประโยชน์ของต้นพะยอมมีมากมายหลายแสน
ข้อเสียมีข้อเดียวคือ ต้นบ้านี่ทำให้ฉันต้องยืนขาเดียวหน้าห้องเรียน
อายเค้าชะมัด ไอ่ต้นไม้บ้า!!!” พูดจบหญิงสาวก็ยกลำแข้งเล็กๆของเธอ
เตะเข้าไปที่ต้นไม้ใหญอย่างลืมตัว


“อ้าก ก ก ก....เจ็บๆๆๆ”
หญิงสาวเอาสองมือจับข้อเท้าของตัวเองแล้วกระโดดหยองแหยงเหมือนกระต่าย

“เจ็บชะมัด จะมีคนเห็นมั้ยเนี่ย”
เธอบ่นพร้อมกับทิ้งตัวนั่งลงบนกับพื้นหญ้าใต้ต้นพะยอม

“มี!!!” เสียงหนึ่งดังขึ้นมา
ก่อนที่ร่างสูงของชายคนหนึ่งจะกระโดดตุบลงมาตรงหน้าเอฬิณา

“นายเป็นใคร ทำไมตกลงมาจากต้นไม้”
เอฬิณาถามด้วยเสียงเซ็งๆ เธอยังคงเจ็บข้อเท้าอยู่จึงไม่ได้อยากสนใจอะไรมากนัก


  “แล้วเธอเป็นใคร ทำไมถึงมาเตะต้นไม้”
เขาถามกลับ เอฬิณาเงยหน้าขึ้นมา
นัยต์ตาดำพร้อมกับริมฝีปากสีแดงสดเหมือนเชอรรี่ส่งยิ้มมาให้
เอฬิณาจ้องมองหน้าเขาแล้วหัวเราะออกมา

 “ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
เอฬิณาหัวเราะจนล้มลงไปกองกับพื้น
เสียงหัวเราะของเธอประสานกับเสียงหัวเราะของเขา
ที่ตามมาทีหลัง

 “คนบ้าอะไรทำทรงผมแบบนั้น”
เอฬิณาว่าพร้อมกับชี้ไปที่ทรงผมของผู้ชายคนนั้น
ชายหนุ่มที่ทำผมสองสี ข้างหนึ่งสีดำข้างหนึ่งสีทอง
ถ้าเขาหน้าตาไม่ดีคงน่าตลกกว่านี้อีก เอฬิณาคิดในใจก่อนจะหัวเราะต่อ


“เอ๊ะ..แล้วนายหัวเราะอะไรฉัน”
เอฬิณาว่าหลังจากที่คิดได้ว่าเขาก็หัวเราะเธอเหมือนกัน

“ตอนที่เธอหัวเราะฉัน...เธอกลิ้งไปโดนรังมดแดงน่ะ”
ชายหนุ่มว่าพร้อมกับชี้มือไปที่รังมดแดงที่เอฬิณานั่งทับอยู่

“อ้าก ก ก.เจ็บๆๆ คันๆ ทำไมนายไม่บอกฉันเล่า
ปล่อยให้นั่งอยู่ตั้งนาน”
เอฬิณารีบลุกขึ้นและหันหน้าไปตั้งใจจะกระโดดเตะนายหัวสองสีนั่นสักที
แต่...เขาหายไปแล้ว


 “กลับมานี่เดี๋ยวนี้นะ !!!” เอฬิณาตะโกนเรียกแต่เขาก็หายไปเสียแล้ว
................................................................................................................................................................



“หึ หึ”
ควาร์กหัวเราะคนเดียวเงียบๆ
ระหว่างนั่งคิดถึงอดีตสมัยที่เขาและเลดี้มายังโลกมนุษย์

“นายจะเอาต้นไม้กลับไปใช่มั้ย”
เลดี้ว่าพร้อมกับยื่นกล่องใสสีขาวบรรจุเมล็ดพันธุ์ของต้นพยอมให้ควาร์ก

“อืม...จะเอาไปปลูกที่บ้าน” เขาว่าพร้อมกับมองไปรอบๆ
ที่นี่กลายเป็นสถานที่ที่ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตใดใด
ดาวโลกกลายเป็นเพียงดาวเคราะห์ร้างที่หลงเหลือเพียงซากปรักหักพัง
ที่เป็นผลมาจากปรมาณูที่มนุษย์ทิ้งระเบิดมาทำลายล้างกันเอง


    
“น่าเศร้านะ...ว่าไหม”
เลดี้ว่าพร้อมกับมองไปรอบๆ
ครั้งหนึ่งเธอและควาร์กเคยคิดว่าพวกเขาเป็นมนุษย์
เคยอยู่ในยุคแห่งสงครามนิวเคลียร์ที่มนุษย์ทำลายล้างกันเอง
แต่ก็มีคนกลุ่มนึงรอด
นั่นคือผู้คนจากดาวเคราะห์ต่างๆที่ซ่อนตัวอยู่ในรูปแบบของมนุษย์
เธอและควาร์กก็เป็นหนึ่งในนั้น
หญิงสาวและชายหนุ่มจากจักรวรรดิอันโดรเมดร้าอันไกลโพ้น



 “ถ้าเราเป็นมนุษย์ เราก็คงไม่รอด”
ควาร์กว่าพร้อมกับเดินไปที่ยานของเขาโดยมีเลดี้กระโดดไปนั่งข้างๆ
"คราวหน้าไปเกิดที่ดาวดวงไหนกันดี”
เลดี้หันไปถามควาร์ก เธอชักตื่นเต้นอยากออกไปเที่ยวต่อเสียแล้ว


  “ขอพักสักร้อยปีก่อนได้ไหม
เพิ่งเกิดเป็นมนุษย์ เหนื่อยจะตาย”
ควาร์กว่าพร้อมกับทำหน้าเบื่อหน่าย
เขามองคู่หมั้นสาวจอมขี้เล่น
หญิงสาวที่ขยันไปเกิดเป็นนั่นเป็นนี่ไปทั่วจักรวาล
ทั้งๆที่บางครั้งก็แสนเหนื่อยกับการไปเกิดและเผชิญความลำบาก
ตามรูปแบบของสิ่งมีชีวิตต่างๆ
แต่เลดี้กลับไม่ยอมเหนื่อย และตัวเขาเองก็ไม่สามารถปล่อยให้เธอไปลำบากคนเดียวได้
ต้องตามไปปกป้องเธอด้วยทุกครั้ง



“พอพักผ่อนสักร้อยปีแล้ว ฉันว่าฉันจะลองไปเกิดเป็นโดโรธี” 
เลดี้ว่าพร้อมกับสายตาเพ้อฝัน

“ควาร์ก แล้วนายอย่าลืมตามฉันไปเกิดเป็นหุ่นกระป๋องล่ะ”
เด็กสาวยิ้มและเอนเบาะลงพร้อมกับจมเข้าสู่ห้วงนิทรา

“เฮ้อ...เดี๋ยวได้เหนื่อยอีกแล้ว”
ควาร์กบ่นกับตัวเองเงียบๆ
ก็จะเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนยานอวกาศ
เป็นระบบความเร็วแสงแล้วออกเดินทางกลับสู่บ้านของเขา



จักรวรรดิอันโดเมรดร้า หรือ ดินแดนแห่งความว่างเปล่า